อัตราค่าจัดส่งที่สูงเกินไปอาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจไม่สั่งซื้อสินค้า ข้อมูลชี้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของตะกร้าสินค้าที่ถูกทิ้งไว้ เกิดจากค่าจัดส่งและภาษีเพิ่มเติมที่ถูกบวกในขั้นตอนสุดท้าย
แล้วเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กจะวางแผนจัดส่งอย่างไรให้คุมต้นทุนสินค้าได้ โดยไม่ต้องผลักภาระค่าขนส่งให้กับลูกค้า? และถ้าอยากส่งพัสดุราคาถูกจากที่บ้านเอง จะมีวิธีไหนที่ช่วยให้ได้เรทราคาถูกที่สุด?
เพื่อให้วางแผนได้ง่ายขึ้น เรารวบรวมราคาล่าสุดของผู้ให้บริการจัดส่งยอดนิยมมาให้แล้ว โดยเปรียบเทียบตามขนาดและน้ำหนักพัสดุ ความเร็วในการจัดส่ง และจุดหมายปลายทางว่าเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ
เทียบราคาพัสดุขนาดเล็ก ส่งกับเจ้าไหนถูกที่สุด Kerry, Flash, ไปรษณีย์ไทย หรือ J&T
หากคุณต้องการส่งพัสดุราคาถูก สำหรับของที่เป็นกล่องเล็กหรือซองขนาดเล็ก ในไทยตอนนี้มีหลายตัวเลือกที่ทั้งราคาดีและส่งของถึงมือไว โดยทั่วไปแล้ว ไปรษณีย์ไทยจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะถ้าไม่ได้รีบร้อนมาก
แต่ละผู้ให้บริการจะมีเกณฑ์ต่างกันว่าพัสดุแบบไหนถือว่า “ขนาดเล็ก” โดยปัจจัยที่มีผลต่อราคาคือ ขนาดและน้ำหนักของพัสดุ จุดหมายปลายทาง และความเร็วในการจัดส่งที่เลือกใช้
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ด้านล่างนี้คือตัวอย่างการเปรียบเทียบราคาส่งกล่องพัสดุขนาดเล็ก (ประมาณกล่องรองเท้า หนักไม่เกิน 1 กก.) จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ โดยใช้บริการแบบมาตรฐาน
ผู้ให้บริการ |
ประเภทบริการ |
ระยะเวลาจัดส่งโดยประมาณ |
ราคา (เริ่มต้น) |
ไปรษณีย์ไทย |
แบบลงทะเบียนธรรมดา |
2–5 วันทำการ |
35–45 บาท |
Kerry Express |
Kerry Standard |
1–2 วันทำการ |
55–65 บาท |
Flash Express |
Flash Home Delivery |
1–3 วันทำการ |
40–50 บาท |
J&T Express |
J&T Standard |
1–3 วันทำการ |
40–50 บาท |
💡 โปรทิปส์
หากคุณใช้ Shopify ในการจัดการร้านค้า คุณสามารถเชื่อมต่อกับพาร์ตเนอร์ขนส่งในไทยผ่านแอปอย่าง Shippop, Shipnity หรือระบบรวมขนส่งอื่นๆ ที่ให้เรทราคาพิเศษ ช่วยลดต้นทุนการจัดส่งได้จริง และยังจัดการออเดอร์ได้ในคลิกเดียว
ส่งพัสดุราคาถูก หากของชิ้นใหญ่ส่งยังไงให้คุ้ม
สำหรับการส่งของชิ้นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนตัวหรือส่งของจากร้านค้าออนไลน์ การหาวิธีส่งพัสดุราคาถูกที่เหมาะกับขนาดพัสดุถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นกล่องใหญ่หรือของน้ำหนักเยอะ
ขนาดที่เรียกว่า “พัสดุขนาดใหญ่” ในไทยจะขึ้นอยู่กับประเภทการจัดส่งที่คุณเลือก เช่น ส่งแบบธรรมดา ส่งด่วน หรือส่งผ่านระบบขนส่งภาคพื้นดินเทียบกับทางอากาศ บางเจ้ามีข้อจำกัดเรื่องขนาดและน้ำหนักค่อนข้างชัดเจน
ด้านล่างนี้คือข้อมูลขนาดและน้ำหนักสูงสุดของพัสดุที่สามารถส่งได้กับผู้ให้บริการขนส่งสินค้าหลักในประเทศไทย
- ไปรษณีย์ไทย น้ำหนักสูงสุด: 30 กก. ความยาวพัสดุสูงสุด: 150 ซม.
- Kerry Express น้ำหนักสูงสุด: 30 กก. ความยาวพัสดุสูงสุด: 200 ซม. (รวมทุกด้าน)
- Flash Express น้ำหนักสูงสุด: 50 กก. ความยาวพัสดุสูงสุด: 150 ซม. (รวมทุกด้าน)
- J&T Express น้ำหนักสูงสุด: 50 กก. ความยาวพัสดุสูงสุด: 170 ซม. (รวมทุกด้าน)
- SCG Express น้ำหนักสูงสุด: 50 กก. ความยาวพัสดุสูงสุด: 200 ซม. (รวมทุกด้าน)
💡 หากพัสดุมีขนาดเกินกว่าที่กำหนด
แนะนำให้ใช้บริการขนส่งแบบ “โลจิสติกส์สินค้าขนาดใหญ่” หรือขนส่งแบบเหมา (freight service) เช่น SCG Move, Nim Express หรือ GrabTruck เพื่อความปลอดภัยและคุ้มค่ามากขึ้นในการจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่
ตัวอย่างเรทราคาค่าจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่ (จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่)
ผู้ให้บริการ |
ประเภทบริการ |
ระยะเวลาจัดส่งโดยประมาณ |
ราคา (เริ่มต้น) |
ไปรษณีย์ไทย |
1–2 วันทำการ |
150–250 บาท |
|
Kerry Express |
Kerry Large Package |
1–2 วันทำการ |
180–300 บาท |
Flash Express |
Flash Big Size |
1–3 วันทำการ |
150–280 บาท |
J&T Express |
J&T Large Parcel |
1–3 วันทำการ |
160–290 บาท |
ส่งพัสดุไปต่างประเทศแบบประหยัด: ค่าบริการ + สิ่งที่ต้องรู้
ส่งพัสดุราคาถูกไปต่างประเทศ
ค่าจัดส่งระหว่างประเทศมักจะถูกคำนวณจากระยะทาง ขนาด น้ำหนักพัสดุ และกฎระเบียบการนำเข้าสินค้าของแต่ละประเทศ สำหรับร้านค้าในไทย ราคาส่งพัสดุไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม หรือสิงคโปร์ มักจะถูกกว่าการส่งไปยุโรปหรืออเมริกา
ทั้งนี้ ภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมปลายทางอาจแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับมูลค่าสินค้าและประเทศปลายทาง ร้านค้าควรตัดสินใจให้ชัดเจนว่าจะให้ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมเหล่านี้ หรือเสนอทางเลือกอื่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าต่างประเทศ
ตัวอย่างบริการส่งพัสดุขนาดเล็ก (ประมาณ 2–3 กก.) จากไทยไปประเทศในเอเชีย
ผู้ให้บริการ |
ประเภทบริการ |
ระยะเวลาจัดส่งโดยประมาณ |
ราคา (เริ่มต้น) |
ไปรษณีย์ไทย |
7–14 วันทำการ |
900–1,200 บาท |
|
Kerry Express |
Cross-border (ASEAN) |
3–7 วันทำการ |
1,000–1,500 บาท |
DHL Express |
2–5 วันทำการ |
1,500–2,500 บาท |
|
FedEx Thailand |
International Connect Plus |
3–6 วันทำการ |
1,800–2,800 บาท |
💡 สำหรับร้านออนไลน์บน Shopify
สามารถใช้บริการรวมขนส่งที่รองรับการจัดส่งระหว่างประเทศ เช่น Shippop Global หรือ Easyship ซึ่งช่วยให้คุณเปรียบเทียบเรทราคาหลายเจ้าในที่เดียว และยังรวมระบบภาษีนำเข้าให้ลูกค้าเห็นยอดรวมชัดเจนก่อนชำระเงิน
ส่งพัสดุราคาถูก ด้วยการเปรียบเทียบตามความเร็วในการจัดส่ง
ทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการจัดส่งภายใน 2–3 วัน
ถ้าต้องการส่งของให้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายแพงมาก ไปรษณีย์ไทยแบบ EMS ยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า โดยราคาจะเริ่มที่ประมาณ 60–100 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและปลายทางของพัสดุ หากใช้กล่องพัสดุแบบ Flat Rate ของไปรษณีย์ก็จะช่วยควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น
สำหรับพัสดุที่มีขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก บริการด่วนจาก Kerry Express และ Flash Express ก็มีเรทที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะเมื่อจัดส่งในจังหวัดหลักหรือเขตเมืองใหญ่
ส่งพัสดุราคาถูกด้วยการเลือกการจัดส่งแบบวันถัดไป
ถ้าคุณต้องส่งของด่วนมาก บริการส่งวันถัดไป คือตัวช่วยที่ดีที่สุด ทั้ง Kerry, Flash, J&T และ SCG Express ต่างก็มีแพ็กเกจแบบ Next-Day หรือ Same-Day ในบางพื้นที่ ซึ่งช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้าจะถึงมือเร็วที่สุด
- Kerry Express: Next-Day ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดหลัก เริ่มต้นประมาณ 100–150 บาท
- SCG Express: บริการ Same-Day สำหรับเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มต้นที่ 150 บาท
- Flash Express: มีบริการ Flash Plus สำหรับส่งด่วนพิเศษในบางเส้นทาง
ราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดพัสดุ พื้นที่ปลายทาง และเงื่อนไขพิเศษ เช่น ถ้าต้องการให้จัดส่งถึงมือภายในช่วงเวลาที่ระบุ หรือให้ผู้รับเซ็นรับสินค้า ค่าบริการอาจสูงขึ้นตามเงื่อนไข
วิธีคำนวณต้นทุนการจัดส่ง
การคาดการณ์ค่าจัดส่งล่วงหน้าอาจไม่ง่ายนัก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อต้นทุนโดยรวม ปัจจัยที่มีผลต่อต้นทุนการจัดส่งพัสดุที่ทำให้ถูกลงได้ มีดังนี้
-
ระยะทางในการจัดส่ง ยิ่งปลายทางอยู่ไกล ต้นทุนการขนส่งก็จะสูงขึ้นตาม หากร้านคุณมีหลายคลังสินค้า หรือสต็อกอยู่หลายจังหวัด การจัดการออเดอร์ให้จัดส่งจากจุดที่ใกล้ที่สุดจะช่วยลดต้นทุนได้ เช่น ส่งของไปเชียงใหม่จากคลังที่ลำปาง แทนที่จะส่งจากกรุงเทพฯ
-
ความเร็วในการจัดส่ง การจัดส่งแบบด่วนพิเศษ (Same-Day หรือ Next-Day) มักมีต้นทุนสูงกว่าการส่งแบบธรรมดา ถ้าลูกค้าไม่รีบรับสินค้า การเลือกส่งแบบ 2–3 วัน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก
-
มูลค่าพัสดุ หากสินค้ามีราคาสูงและต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติม การทำประกันพัสดุจะช่วยในกรณีสูญหายหรือเสียหายระหว่างทาง แต่เบี้ยประกันก็จะสูงขึ้นตามมูลค่าสินค้า
-
ขนาดและน้ำหนักของพัสดุ ผู้ให้บริการจัดส่งส่วนใหญ่คำนวณราคาจากทั้งขนาดและน้ำหนัก พัสดุชิ้นใหญ่หรือกล่องที่กินพื้นที่มากจะมีต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น แม้น้ำหนักจะไม่มากก็ตาม
-
บริการเสริม เช่น ขอรับสินค้าตามเวลาที่กำหนดล่วงหน้า บริการเซ็นรับสินค้า หรือแพ็กเกจที่ไม่มีโลโก้บริษัทผู้ส่ง (white-label) ต่างเป็นบริการเสริมที่อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
- ภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากร หากคุณส่งของไปต่างประเทศ คุณสามารถเลือกให้ลูกค้าเป็นผู้จ่ายภาษีนำเข้า หรือร้านค้าจะเป็นผู้จัดการให้เอง (Delivered Duty Paid – DDP) ซึ่งตัวเลือกหลังจะเพิ่มภาระต้นทุนให้ร้าน แต่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นกว่า
💡 ตัวอย่างจากร้านค้าจริง
ร้านขายของตกแต่งบ้านในไทยรายหนึ่ง เปิดตลาดไปยังสิงคโปร์และมาเลเซียผ่าน Shopify และเลือกใช้ระบบ Managed Markets ที่ช่วยคำนวณและแสดงค่าจัดส่งรวมภาษีให้ลูกค้าเห็นชัดเจนก่อนชำระเงิน ลูกค้าปลายทางไม่มีเซอร์ไพรส์หลังสินค้าไปถึง และร้านเองก็วางแผนต้นทุนได้แม่นยำมากขึ้น
“สิ่งที่เราชอบคือ Shopify ทำให้เรารู้ต้นทุน DDP แบบละเอียดทันทีตั้งแต่หน้าเช็คเอาท์” — เจ้าของร้าน (Thailand-based Shopify brand)
เครื่องมือคำนวณค่าจัดส่งจากผู้ให้บริการ
หากคุณต้องการเช็กค่าจัดส่งแบบแม่นยำก่อนส่งจริง ผู้ให้บริการจัดส่งหลายเจ้ามีเครื่องมือคำนวณเรทให้ใช้งานฟรีผ่านเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้คุณวางแผนต้นทุนได้ง่ายขึ้น
- เครื่องคำนวณค่าจัดส่ง ไปรษณีย์ไทย
- เครื่องคำนวณค่าจัดส่ง Kerry Express
- เครื่องคำนวณค่าจัดส่ง Flash Express
- เครื่องคำนวณค่าจัดส่ง J&T Express
- เครื่องคำนวณค่าจัดส่ง SCG Express
- เครื่องคำนวณค่าจัดส่ง DHL Express (Thailand)
- เครื่องคำนวณค่าจัดส่ง FedEx Thailand
ประเภทของวิธีจัดส่งพัสดุ
การเลือกวิธีจัดส่งมีผลต่อทั้งต้นทุน ความเร็ว และประสบการณ์ของลูกค้า ร้านค้าออนไลน์ควรเลือกใช้หรือผสมผสานหลายรูปแบบ เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าหลายกลุ่มมากที่สุด และยังช่วยให้วางแผนส่งพัสดุราคาถูกได้อย่างยืดหยุ่นในแต่ละสถานการณ์
-
จัดส่งฟรี (Free Shipping)
ร้านค้าสามารถนำต้นทุนค่าจัดส่งไปรวมไว้ในราคาสินค้า หรือกำหนด “ยอดสั่งขั้นต่ำ” เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิ์จัดส่งฟรี วิธีนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าออเดอร์เฉลี่ยได้ เช่น แบรนด์เสื้อผ้า W. Titley มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 36% หลังเปิดใช้งานจัดส่งฟรีเมื่อมียอดเกินที่กำหนด
-
จัดส่งแบบเหมา (Flat-Rate Shipping)
การเลือกวิธีส่งพัสดุราคาถูกแบบนี้ ลูกค้าจ่ายค่าส่งในเรทเดียว โดยอิงจากช่วงน้ำหนักหรือขนาดกล่อง วิธีนี้เหมาะกับร้านที่ต้องการควบคุมต้นทุน และอาจใช้ร่วมกับโปรโมชันจัดส่งฟรีในบางช่วง เพื่อความโปร่งใสและง่ายต่อการคำนวณกำไร
-
จัดส่งตามเรทจริง (Real-Time Carrier Rates)
ระบบจะดึงราคาค่าจัดส่งตามขนาด น้ำหนัก และระยะทางแบบเรียลไทม์จากผู้ให้บริการขนส่ง เช่น Shippop หรือ Ninja Van วิธีนี้เหมาะกับร้านที่มีสินค้าน้ำหนักหลากหลาย เช่น เฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
-
จัดส่งภายในพื้นที่ (Local Shipping)
หากคุณมีรถของตัวเอง หรือทีมจัดส่งภายในท้องถิ่น การจัดส่งเองแบบ local จะช่วยลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพได้ดี เหมาะกับสินค้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น ดอกไม้ อาหาร หรือของแตกง่าย
-
ลูกค้ามารับเอง (Pick-up)
วิธีส่งพัสดุราคาถูกนี้เหมาะกับร้านที่มีหน้าร้านหรือจุดรับสินค้า เช่น สโตร์เล็กๆ หรือ fulfillment center ที่อยู่ในย่านชุมชน ลูกค้าสามารถเลือกรับของเองเมื่อสะดวก และไม่เสียค่าส่ง
-
จัดส่งระหว่างประเทศ (International Shipping)
ใช้เมื่อส่งของข้ามพรมแดน เช่น ส่งสินค้าจากไทยไปสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือยุโรป ควรเลือกผู้ให้บริการที่รองรับการแสดงภาษีนำเข้าและขั้นตอนศุลกากรอย่างชัดเจน เช่น DHL, FedEx หรือ Managed Markets ของ Shopify
-
จัดส่งภายในวันเดียว (Same-Day Delivery)
ลูกค้าจะได้รับสินค้าในวันเดียวกับที่สั่ง การส่งส่งพัสดุราคาถูกลักษณะนี้เหมาะกับสินค้าที่มีความเร่งด่วน เช่น อุปกรณ์ไอที ดอกไม้ หรือสินค้าสำหรับโอกาสพิเศษ ต้องใช้ระบบ fulfillment ที่เร็วและกำหนดเวลาตัดรอบสั่งให้ชัดเจน (เช่น ตัดรอบ 11.00 น.)
-
จัดส่งวันถัดไป (Next-Day Delivery)
ลูกค้าจะได้รับสินค้าภายในวันทำการถัดไป เป็นตัวเลือกยอดนิยมของผู้ซื้อออนไลน์เกือบครึ่ง ที่คาดหวังความรวดเร็วโดยไม่ต้องรอหลายวัน
-
จัดส่งแบบเร่งพิเศษ (Expedited Shipping)
ครอบคลุมบริการที่เร็วกว่าการจัดส่งมาตรฐาน เช่น Express จาก Kerry หรือ EMS Speed Post เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการความแน่นอนเรื่องวันรับสินค้า
ส่งพัสดุราคาถูกด้วยการเลือกผู้ให้บริการที่ใช่
ทุกปีผู้ให้บริการจัดส่งจะมีการปรับราคาค่าขนส่งใหม่ ซึ่งอาจทำให้การเลือกพาร์ตเนอร์จัดส่งที่เหมาะสมกลายเป็นเรื่องซับซ้อน หากไม่อัปเดตข้อมูล อาจกระทบต้นทุนและกำไรโดยตรง
ปัจจุบันราคาค่าจัดส่งไม่ได้คำนวณจากระยะทางอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงขนาด น้ำหนัก และความเร็วในการจัดส่งด้วย ซึ่งล้วนมีผลต่อต้นทุนทั้งหมด
เปรียบเทียบผู้ให้บริการจัดส่ง
แต่ละเจ้ามีโมเดลราคาของตัวเอง และมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน การเลือกให้ตรงกับลักษณะธุรกิจของคุณจึงสำคัญ เช่น ร้านที่จัดส่งไปต่างประเทศจำนวนมากอาจต้องใช้กลยุทธ์ต่างจากร้านที่ขายเฉพาะในประเทศ
แนวทางเลือกผู้ให้บริการจัดส่งแบบเข้าใจง่าย
- ถ้าเรื่องราคาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และไม่ซีเรียสเรื่องความเร็ว
เลือกใช้บริการที่เน้นราคาย่อมเยา เช่น ไปรษณีย์ไทยแบบลงทะเบียน หรือบริการรวมขนส่งจากแอป Shippop ที่ช่วยเปรียบเทียบเรทได้แบบเรียลไทม์
- ถ้าลูกค้าให้ความสำคัญกับความเร็วมากกว่าค่าส่งฟรี
ใช้บริการด่วนแบบ Next-Day หรือ Same-Day จาก Kerry, Flash หรือ SCG Express
- ถ้าคุณจัดส่งพัสดุไปต่างประเทศในปริมาณมาก
เลือกบริการที่เชี่ยวชาญด้าน international shipping เช่น DHL Express หรือ FedEx ที่สามารถจัดการเอกสารและภาษีนำเข้าได้ครบจบในระบบ
- ถ้าความน่าเชื่อถือคือหัวใจของการส่งของ
เลือกผู้ให้บริการที่มีเครือข่ายจัดส่งครอบคลุม มีระบบติดตาม และมีประวัติดี เช่น SCG Express, J&T Express หรือ DHL ที่มีระบบโลจิสติกส์ครบวงจร
ตัวอย่างจากร้านค้าออนไลน์จริง
แบรนด์เครื่องสำอาง Glamlite เคยใช้ USPS ในการส่งสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนของแบรนด์ เพราะค่าจัดส่งสูงและใช้เวลานาน ทำให้เสียเปรียบแบรนด์ท้องถิ่นในตลาดต่างประเทศ
หลังจากเปิดใช้งาน Managed Markets บน Shopify Glamlite สามารถเสนอราคาค่าจัดส่งระหว่างประเทศที่ถูกลง และจัดการภาษีนำเข้าได้ล่วงหน้าบนหน้าเช็คเอาท์ พวกเขายังใช้โอกาสนี้ทำแคมเปญโปรโมต “ส่งไวถึงมือลูกค้าใน 2–3 วัน” สำหรับลูกค้าในต่างประเทศ
“ลูกค้าที่อังกฤษสั่งของวันศุกร์ แล้วได้รับของวันอังคาร ซึ่งเราไม่เคยทำได้เร็วขนาดนี้มาก่อนเลย” — Gisselle Hernandez ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Glamlite
ผู้ให้บริการขนส่งระดับภูมิภาค
ผู้ให้บริการขนส่งระดับภูมิภาคคือบริการขนส่งขนาดเล็กที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าในพื้นที่เฉพาะได้สะดวกขึ้น เช่น หากคุณมีฐานลูกค้าจำนวนมากในกรุงเทพฯ อาจเลือกใช้บริการขนส่งที่เน้นเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล แทนที่จะใช้บริการขนส่งระดับประเทศ
บริการเหล่านี้มักมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่า เนื่องจากมีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่เล็กกว่า ทำให้สามารถช่วยให้แบรนด์ประหยัดต้นทุนได้สูงถึง 40% เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการระดับประเทศ
นอกจากนี้ เครือข่ายโลจิสติกส์แบบเจาะพื้นที่ยังช่วยให้บริการขนส่งระดับภูมิภาคสามารถจัดส่งแบบวันเดียวหรือวันถัดไปได้ และด้วยขนาดที่เล็กกว่ามาก จึงสามารถเจรจาเพื่อขอใช้บริการเสริมเพิ่มเติม เช่น เซ็นรับสินค้า กำหนดเวลารับพัสดุเฉพาะ หรือจัดส่งแบบไม่แสดงชื่อแบรนด์ ได้ง่ายขึ้นในราคาที่คุ้มกว่า
กลยุทธ์จัดส่งขั้นสูงเพื่อลดต้นทุน
ต่อรองเรทราคาค่าจัดส่ง
หากร้านของคุณจัดส่งพัสดุจำนวนมากต่อเดือนผ่านผู้ให้บริการเจ้าใดเจ้าหนึ่ง การใช้ข้อมูลปริมาณจัดส่งเป็นแต้มต่อในการต่อรองราคาสามารถช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก หลายผู้ให้บริการยินดีให้เรทที่ถูกลงหากคุณใช้บริการหลักจากพวกเขาเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ต่อรองได้ผล ควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมดังนี้
-
เตรียมข้อมูลการจัดส่งของคุณให้ชัดเจน:คำนวณจำนวนออเดอร์ที่คาดว่าจะส่งกับผู้ให้บริการรายนั้น รวมถึงช่วงพีคหรือโปรโมชันที่กำลังจะมาถึง ตัวเลขควรใกล้เคียงกับความเป็นจริง เพื่อไม่ต้องกลับมาเจรจาใหม่ในภายหลัง
-
สร้างความสัมพันธ์ที่ดี:ให้ฟีดแบ็กทั้งแง่บวกและข้อเสนอแนะกับผู้ให้บริการจัดส่ง เพื่อเปิดช่องทางการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีแอ็กเคานต์เมเนเจอร์โดยตรงจะช่วยให้ประสานงานได้ง่ายขึ้น
- เจาะจงสิ่งที่อยากได้ส่วนลด: ถ้าผู้ให้บริการไม่สามารถลดราคาค่าจัดส่งโดยตรง ลองขอส่วนลดในจุดอื่น เช่น ค่าวัสดุแพ็กสินค้า ค่ารับของ หรือค่าน้ำมัน
ซอฟต์แวร์จัดส่งและระบบอัตโนมัติ
การใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดส่งช่วยลดงานซ้ำๆ ที่กินเวลา และยังช่วยลดข้อผิดพลาดจากคนได้อีกด้วย
รายงานจาก McKinsey พบว่า การสร้างเอกสารจัดส่งแบบอัตโนมัติช่วยลดข้อผิดพลาดและลดระยะเวลาในการจัดส่งลงได้ถึง 60% ไม่แปลกที่กว่า 70% ของผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนวางแผนลงทุนในระบบอัตโนมัติมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านดอลลาร์ภายใน 5 ปีข้างหน้า
ตัวอย่างงานที่สามารถตั้งค่าอัตโนมัติผ่านซอฟต์แวร์จัดส่งได้ เช่น
- สร้างใบแพ็กสินค้า (Packing Slip)
- จัดสั่งสินค้าไปยังคลังสินค้าที่ใกล้ลูกค้ามากที่สุด
- เปรียบเทียบราคาค่าจัดส่งจากผู้ให้บริการหลายเจ้า
- พิมพ์ใบปะหน้าหลายรายการในคราวเดียว
ติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์
สรุปรายงานการจัดส่งเพื่อวิเคราะห์ต้นทุนและประสิทธิภาพ
Tara Bosch ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Smart Sweets เล่าในรายการ Shopify Masters ว่า
“ผมกับทีมคนแรกใช้เวลาทั้งคืนในการแพ็กกล่องในพื้นที่เล็กๆ ของโปรแกรมบ่มเพาะธุรกิจที่เราร่วมอยู่ ตอนเช้า Canada Post ก็มารับพัสดุไป เราไม่มีระบบจัดส่งอะไรเลยตอนนั้น ทุกอย่างคือ Manual ล้วนๆ แต่ก็นั่นแหละ มันคือหนึ่งในช่วงเวลาพิเศษของการเริ่มต้นธุรกิจที่ทำให้รู้สึกว้าวเลยว่า ‘นี่มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วเหรอ?’”
การจัดส่งแบบไฮบริด
ตัวเลือกการส่งพัสดุราคาถูกที่เหมาะกับธุรกิจของคุณขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เรทราคาของผู้ให้บริการ น้ำหนักพัสดุ และความต้องการบริการพิเศษ เช่น การเซ็นรับของ
การจัดส่งแบบไฮบริดคือกลยุทธ์ที่ผสมผสานการใช้ผู้ให้บริการหลายเจ้าหรือหลายวิธีในการจัดส่ง เพื่อให้ได้ต้นทุนที่คุ้มค่าและเพิ่มความเร็วในการส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในกลยุทธ์จัดส่งแบบไฮบริด คุณอาจเลือกใช้
-
Flash Express หรือ J&T สำหรับจัดส่งช่วงสุดท้าย (last-mile delivery)
-
SCG Express สำหรับพัสดุขนาดใหญ่หรือระยะทางไกล
-
จัดส่งภายในพื้นที่ สำหรับออเดอร์ที่อยู่ไม่เกิน 10 กิโลเมตรจากหน้าร้าน
กลยุทธ์แบบนี้ยังช่วยให้จัดการช่วงพีคซีซันได้ดี เช่น หากผู้ให้บริการหลักมีออเดอร์ล้นช่วงปลายปีหรือโปรใหญ่ๆ และไม่สามารถรักษาราคาเดิมไว้ได้ ก็สามารถโยกออเดอร์ไปยังผู้ให้บริการอื่นที่พร้อมรองรับแทนได้ทันที
การจัดส่งแบบรวม
การจัดส่งแบบรวมคือการนำหลายออเดอร์มารวมจัดส่งพร้อมกันในรอบเดียว เป็นแนวคิดที่ใช้ประโยชน์จาก "economies of scale" หรือการลดต้นทุนต่อชิ้นเมื่อปริมาณเพิ่มขึ้น
เช่น แทนที่จะส่งพาเลตสินค้าแยก 10 ชุดจากคลังไปยังศูนย์กระจายสินค้า คุณอาจรวมจัดส่งเป็นพัสดุขนาดใหญ่ชุดเดียว ซึ่งผู้ให้บริการอาจคิดค่าจัดส่งเพียง 200 บาท แทนที่จะเก็บ 10 รอบๆ ละ 25 บาท เท่ากับคุณประหยัดได้ทันที 50 บาท
การจัดส่งแบบรวมยังช่วยลดการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ และลดจำนวนรอบในการจัดส่ง ซึ่งหมายถึงค่าน้ำมัน ค่าจัดส่งปลายทาง และค่าธรรมเนียมขั้นต่ำอื่นๆ ที่มักสะสมโดยไม่รู้ตั
4 ทริคช่วยลดต้นทุนการจัดส่ง
นอกจากการต่อรองราคาและเปรียบเทียบผู้ให้บริการแล้ว ยังมีเคล็ดลับอื่นที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้เพื่อลดต้นทุนได้จริง
1. ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม
การส่งอากาศเปล่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เลือกแพ็กสินค้าให้พอดีกับขนาด เพื่อลดน้ำหนักและลดพื้นที่ในการขนส่ง พร้อมเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้หรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น:
- กล่องกระดาษรีไซเคิล
- หมอนอากาศแบบละลายน้ำ
- ถุงผ้าใช้ซ้ำได้
บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเหล่านี้มักซื้อยกลังได้ในราคาประหยัด และยังตรงใจลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
2. พิจารณาวัสดุบรรจุภัณฑ์ให้ดี
กล่องกระดาษอาจดูปลอดภัยแต่ก็มีน้ำหนัก ยิ่งหนัก ค่าส่งยิ่งสูง ลองใช้วัสดุที่เบากว่า เช่น ซองพลาสติก (Poly mailer), หมอนอากาศ / กระดาษห่อ / ฟองน้ำ / พลาสติกกันกระแทก หรือกระดาษยัดกล่อง
Nancy Twine ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Briogeo เคยพูดในรายการ Shopify Masters ว่า “ในวงการบิวตี้ แพ็กเกจจิ้งคือส่วนสำคัญของสินค้า มันต้องใช้ความร่วมมือของทั้งอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง”
3. ใช้บริการจัดส่งแบบเหมา
เหมาะมากสำหรับการส่งในประเทศ เพราะรู้ราคาชัดเจนตั้งแต่ต้น ไม่ว่ากล่องจะหนักแค่ไหน ถ้าอยู่ในขนาดที่กำหนดก็จ่ายราคาเดียว ง่ายต่อการคำนวณต้นทุน โดยเฉพาะถ้าคุณมีโปรส่งฟรี
Marcus Milione ผู้ก่อตั้ง Minted New York เคยกล่าวว่า “ทุกวันนี้ลูกค้ามีภาพจำว่า สั่งของวันนี้ อีกสองวันต้องถึงมือเหมือน Amazon ต่อให้ร้านเราเล็กแค่ไหน ลูกค้าก็ยังคาดหวังให้ได้ของภายใน 2–7 วันอยู่ดี”
4. เสนอทางเลือกจัดส่งแบบในพื้นที่หรือรับหน้าร้าน
วิธีที่ถูกที่สุดคือจัดส่งเองในพื้นที่ หรือให้ลูกค้ามารับของที่ร้าน ไม่ต้องพึ่งผู้ให้บริการขนส่ง ช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลา
สำหรับร้านขนาดเล็ก การจัดส่งภายในพื้นที่เป็นวิธีดีในการเข้าถึงลูกค้าใกล้บ้าน เพิ่มยอดขาย และสร้างประสบการณ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เช่น ถ้าของมีในสต็อก ลูกค้าสั่งออนไลน์และแวะมารับได้ภายในไม่กี่นาที ไม่ต้องรอพัสดุหลายวัน
ส่งพัสดุราคาถูก ลดต้นทุนด้วย Shopify Shipping
Shopify Shipping ช่วยให้การจัดส่งพัสดุของร้านง่ายขึ้นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่สามารถประหยัดค่าจัดส่งได้สูงสุดถึง 88% ด้วยเรทพิเศษที่ต่อรองไว้ล่วงหน้ากับผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น USPS, UPS และ DHL
แต่ Shopify Shipping ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องค่าใช้จ่าย ยังช่วยประหยัดเวลาในการจัดการออเดอร์ด้วย เช่น พิมพ์ใบปะหน้าได้จากในระบบ Shopify โดยตรง มีระบบจัดการเอกสารศุลกากรอัตโนมัติสำหรับออเดอร์ระหว่างประเทศ และให้คุณติดตามสถานะจัดส่งทั้งหมดจากแดชบอร์ดเดียว ทั้งหมดนี้ช่วยให้ร้านค้าสามารถจัดการการขนส่งได้ครบ จบในที่เดียว ทั้งประหยัดงบและลดงานแอดมินที่กินเวลาลงได้อย่างชัดเจน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีส่งพัสดุราคาถูก
วิธีส่งพัสดุที่ถูกที่สุดคืออะไร?
ขึ้นอยู่กับขนาด น้ำหนัก ระยะทาง และความเร็วในการจัดส่ง โดยทั่วไป การส่งพัสดุผ่านไปรษณีย์ไทยแบบธรรมดา หรือบริการรวมขนส่งจากแอปอย่าง Shippop จะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในไทย
ค่าจัดส่งพัสดุคิดยังไง?
ต้นทุนขึ้นอยู่กับขนาด น้ำหนัก จุดหมายปลายทาง และบริการที่เลือกใช้ ยิ่งส่งไกลหรือใช้บริการด่วน ราคาก็จะสูงขึ้น โดยรวมแล้ว ไปรษณีย์ไทยและ Flash Express มักให้เรทที่ประหยัด โดยเฉพาะสำหรับพัสดุขนาดเล็กถึงกลาง
ส่งกับ Kerry หรือไปรษณีย์ไทย อะไรถูกกว่ากัน?
สำหรับพัสดุชิ้นเล็กหรือส่งในพื้นที่ไม่ไกลมาก ไปรษณีย์ไทยมักมีราคาถูกกว่า แต่หากต้องการความเร็ว Kerry Express อาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการจัดส่งแบบเร่งด่วน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่
กระบวนการส่งพัสดุมีขั้นตอนอะไรบ้าง?
- เตรียมพัสดุ: รวมของที่ต้องส่ง แพ็กให้แน่นหนา และเตรียมกล่อง เทป และฉลาก
- คำนวณค่าส่ง: ชั่งน้ำหนักและวัดขนาด จากนั้นตรวจสอบค่าจัดส่งจากผู้ให้บริการ
- ติดที่อยู่: เขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และรหัสไปรษณีย์ให้ครบถ้วน
- เลือกผู้ให้บริการ: เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry, Flash หรือ J&T
- จัดส่ง: นำพัสดุไปส่งที่สาขา หรือให้บริการเข้ารับถึงบ้าน พร้อมรับเลขติดตาม
- ติดตามพัสดุ: ใช้เลขพัสดุเพื่อตรวจสอบสถานะผ่านเว็บไซต์หรือแอปของผู้ให้บริการ
ส่งด้วยกล่องของตัวเองหรือไปรษณีย์ไทย แบบไหนคุ้มกว่า?
หากใช้กล่องที่ไปรษณีย์ไทยกำหนดไว้ (เช่น Flat Rate Box) ราคามักถูกกว่าในบางกรณี โดยเฉพาะหากน้ำหนักมาก แต่ถ้าพัสดุมีขนาดเล็กหรือไม่เข้าไซซ์ กล่องของคุณเองอาจยืดหยุ่นกว่า
พัสดุหนัก 2–3 กก. ส่งยังไงให้ถูกที่สุด?
การส่งผ่านไปรษณีย์ไทยแบบพัสดุธรรมดา หรือเลือกบริการรวมขนส่งที่แสดงเรทหลายเจ้าผ่านแอป เช่น Shippop หรือ Shipnity จะช่วยให้คุณเลือกตัวเลือกที่ถูกที่สุดได้ง่ายขึ้น