อยากรู้ไหมว่าลูกค้ากำลังค้นหาสินค้าอะไรอยู่ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจสต็อกของในร้าน Google Trends คือหน้าต่างฟรีที่ช่วยให้คุณมองเห็นความต้องการของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ เปิดเผยสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกกำลังมองหาอยู่ในตอนนี้อย่างชัดเจน
เครื่องมือทรงพลังแต่มักถูกมองข้ามตัวนี้ ช่วยให้คุณมองเห็นเทรนด์สินค้าใหม่ๆ ที่กำลังมาแรง เข้าใจพฤติกรรมการซื้อที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และค้นหาโอกาสใหม่ในตลาดต่างประเทศ ก่อนที่คู่แข่งของคุณจะรู้ตัว ไม่ว่าคุณจะกำลังขยายธุรกิจของคุณ หรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ Google Trends ก็สามารถช่วยให้คุณตัดสินใจจากข้อมูลจริงที่สอดคล้องกับความสนใจของลูกค้า
ในบทความนี้ เราจะพาคุณเรียนรู้วิธีใช้ Google Trends เพื่อค้นหาโอกาสในการขายสินค้าที่ทำกำไร ตีความข้อมูลอย่างถูกต้อง และก้าวให้ทันกับเทรนด์ค้าปลีกที่ส่งผลต่อกำไรของคุณโดยตรง
Google Trends คืออะไร
Google Trends คือเครื่องมือฟรีที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนค้นหาคำใดบ่อยแค่ไหนบน Google ช่วยให้คุณเห็นได้ง่ายขึ้นว่าสินค้าหรือคำไหนกำลังเป็นที่นิยมในช่วงเวลานั้น
ในฐานะที่เป็นเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของโลก Google ประมวลผลคำค้นหามากกว่าสองล้านล้านรายการต่อปี อัลกอริทึมอันชาญฉลาดของ Google ช่วยจัดระเบียบข้อมูลการค้นหาทั้งของคุณและลูกค้า ทำให้ Google Trends กลายเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับการวิจัยตลาดที่อิงกับเทรนด์การช้อปปิ้งแบบเรียลไทม์
ก่อนจะไปเรียนรู้วิธีใช้ Google Trends มาดูความสามารถของระบบนี้พร้อมๆ กันด้านล่าง
- ดูปริมาณการค้นหาของสินค้า หากคุณเริ่มขายสินค้าที่ไม่มีใครสนใจเลย คุณจะต้องเจอกับความยากลำบากตั้งแต่เริ่มต้น ตรวจสอบข้อมูลสินค้าบน Google Trends ก่อนตัดสินใจ เพื่อตรวจสอบว่ามีความต้องการจริงหรือไม่
- ดูแนวโน้มความต้องการตามฤดูกาล ธุรกิจตามฤดูกาลไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ถ้าคุณพึ่งพารายได้จากสินค้านั้นเพียงอย่างเดียว อาจต้องเสริมด้วยสินค้าที่ขายได้ตลอดทั้งปี
- เข้าใจภาษาที่ลูกค้าใช้ Google Trends ช่วยให้คุณเปรียบเทียบคำค้นหาต่าง ๆ เพื่อหาคำศัพท์หรือภาษาที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้จริง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการทำการตลาดและโฆษณา
8 ตัวอย่างสินค้าในกระแสบน Google Trends 2025
กำลังมองหาสินค้าที่กำลังเป็นกระแสอยู่หรือเปล่า สินค้าทั้ง 8 รายการนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ดีและมีปริมาณการค้นหาสูงในปี 2025
1. ผลิตภัณฑ์กำจัดขนด้วยเลเซอร์
คำว่า “เลเซอร์กำจัดขน” มีจำนวนการค้นหาที่คงที่บน Google Trends ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เป็นหมวดสินค้าที่มีแนวโน้มไปต่อได้ในระยะยาว
สินค้าที่ขายดีในตลาดนี้ ได้แก่
- เครื่องเลเซอร์กำจัดขนสำหรับใช้ที่บ้าน
- บริการเลเซอร์กำจัดขน
- ชุดเลเซอร์กำจัดขนพร้อมผลิตภัณฑ์ดูแลหลังทำ เช่น สครับหรือมอยส์เจอไรเซอร์
2. ครีมกันแดด
ครีมกันแดดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก Google Trends แสดงให้เห็นว่าความสนใจในสินค้านี้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในรายงานของ Google Trends ปี 2024 ครีมกันแดดถูกรวมไว้ด้วยหลังจากการค้นหาในสหรัฐฯ พุ่งแตะระดับสูงสุดช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา
ฟีเจอร์ Related Queries ของ Google Trends ยังช่วยให้คุณเจาะลึกไปยังกลุ่มย่อยในตลาดครีมกันแดดแบบมีสี ได้ เช่น
- ครีมกันแดดสำหรับผิวมัน
- สกินแคร์เกาหลี
- ครีมกันแดดแบบมิเนอรัล
- ครีมกันแดดสำหรับคนเป็นสิวง่าย
3. แปรงเป่าผม
แปรงเป่าผมเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มียอดค้นหาและความสนใจสูงอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีความผันผวนตามฤดูกาล แต่แนวโน้มโดยรวมกลับพุ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2024 โดยแตะจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน ความสามารถในการฟื้นตัวหลังจากยอดตก แสดงให้เห็นว่าสินค้านี้มีความยืดหยุ่นสูงในตลาด
คุณสามารถใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์โดย
- สร้างแบรนด์ที่เน้นเฉพาะกลุ่มสินค้าแปรงเป่าผม
- ใช้โฆษณา Google Ads เพื่อให้แบรนด์ของคุณแสดงในผลการค้นหาแบบสปอนเซอร์เมื่อมีคนเสิร์ชคำว่า “Dyson Airwrap”
- เปรียบเทียบฟีเจอร์ของแปรงเป่าผมของคุณกับ Dyson เพื่อสร้างจุดเด่นที่น่าสนใจและแตกต่าง
4. ต้นไม้ในบ้าน
ถ้าคุณดูปริมาณการค้นหาคำว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ตั้งแต่ปี 2004 จะเห็นว่าเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงปี 2020 ที่ผู้คนเริ่มใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นและหันมาซื้อของตกแต่งบ้านมากขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ แต่ถ้าซูมดูเฉพาะช่วง 5 ปีหลังสุด จะเห็นว่าความต้องการมีความผันผวนเป็นช่วง ๆ
ข้อมูลนี้บอกเป็นนัยอยู่สองเรื่อง คือ หนึ่ง ต้นไม้ในบ้านอยู่ในเส้นทางการเติบโตระยะยาว และสอง เป็นสินค้าที่มีฤดูกาลชัดเจน โดยการค้นหามักพุ่งสูงในช่วงต้นปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงหากคุณต้องการรักษายอดขายให้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี
5. ของเล่นวันคริสต์มาส
Elf on the Shelf คือปรากฏการณ์ช่วงเทศกาลที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหลายครอบครัว แนวคิดคือเอลฟ์ซุกซนตัวหนึ่งจะแอบเล่นซนในบ้านและรายงานพฤติกรรมของเด็กให้ซานตาคลอสทราบ
แม้ว่าเอลฟ์เหล่านี้จะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว คุณก็ยังสามารถใช้แนวทางที่คล้ายกันได้โดยการหาของเล่นขายส่งชิ้นหนึ่ง และส่งเสริมให้ครอบครัวสร้างประเพณีรอบ ๆ ของเล่นชิ้นนั้น เพื่อสร้างธุรกิจตามฤดูกาลที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน
6. หมวกคลุมผมผ้าไหม
หมวกคลุมผมผ้าไหมได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะเทรนด์บน TikTok ที่ทำให้หมวกคลุมผมนี้กลายเป็นวิธีดูแลผมให้สุขภาพดี ลดผมหยิกฟู และลดการพันกันของเส้นผม
ถ้าคุณอยากขายผ้าคลุมผมผ้าไหมหลากหลายแบบ ลองดูคำค้นหายอดนิยมที่เกี่ยวข้องใน Google Trends เช่น
- ผ้าคลุมผ้าไหมสำหรับผมหยิก
- ผ้าคลุมผ้าซาติน
- ผ้าคลุมผมสีดำ
- ผ้าคลุมผมนอนหลับ
7. อาหารเสริมเฉพาะทาง
การค้นหากว้าง ๆ สำหรับหมวดหมู่ “อาหารเสริม” แสดงให้เห็นแนวโน้มการเติบโตที่ช้าแต่มั่นคงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากดูคำค้นหาที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด คุณจะเจอประเภทอาหารเสริมที่คนสนใจและค้นหามากที่สุด เช่น
- อาหารเสริมก่อนออกกำลังกาย
- อาหารเสริมคอลลาเจน
- อาหารเสริมดูแลระบบย่อยอาหาร
- อาหารเสริมต้านการอักเสบ
- อาหารเสริมลดน้ำหนัก
8. อุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้าน
แม้ว่ายิมจะได้รับความนิยมในหลายเมือง แต่ผู้คนยังคงมองหาวิธีออกกำลังกายที่บ้าน รายงานของ Google Trends ปี 2024 พบว่าวิธีออกกำลังกายที่มีการค้นหาสูงสุดในปีนั้นได้แก่
- การออกกำลังกายแบบโซมาติก
- การเดินออกกำลังกายในร่ม
- การออกกำลังกายแบบคาลิสเทนิกส์ 28 วัน
คุณสามารถใช้โอกาสนี้โดยการขายอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้าน ตั้งแต่เชือกกระโดด เสื่อโยคะ ไปจนถึงเครื่องวิ่งลู่วิ่ง เพราะผู้คนพร้อมลงทุนกับสินค้าที่ช่วยให้การออกกำลังกายที่บ้านสะดวกขึ้น
วิธีใช้ Google Trends เพื่อหาสินค้ามาขาย
1. ค้นหาตลาดเฉพาะทางใหม่ๆ
ก่อนที่คุณจะเปิดธุรกิจค้าปลีก หรือเปิดตัวสินค้าบริการ หรือสาขาใหม่ของแบรนด์ การใช้ Google Trends เพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของไอเดียถือเป็นเรื่องที่ดีเสมอ
วิธีใช้ Google Trends เริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน คุณกำลังตามเทรนด์ใหม่ ๆ ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรือขายสินค้าที่ไม่เหมือนใครและสั่งทำพิเศษหรือไม่ การทำงานย้อนกลับจากเป้าหมายสุดท้ายจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเมื่อพิจารณาไอเดียสินค้าต่าง ๆ
2. มองหาหมวดหมู่สินค้าที่เกี่ยวข้องในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง
เครื่องมือ Google Trends ไม่ได้เป็นแค่แหล่งข้อมูลทองคำสำหรับการค้นหาสินค้ายอดนิยม แต่ยังช่วยให้ร้านค้าปลีกขยายสายผลิตภัณฑ์และจัดหมวดหมู่สินค้าคงคลังได้ด้วย
ตัวอย่างเช่น ร้านความงามที่ค้นหาคำว่า “มอยส์เจอไรเซอร์” จะเห็นหัวข้อที่กำลังมาแรงอย่าง CeraVe, Neutrogena, กลางคืน และครีมกันแดด ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายสายผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว
เครื่องมือพวกนี้สามารถ
- นำสินค้าของ CeraVe หรือ Neutrogena มาจัดจำหน่าย
- สร้างการจัดวางสินค้าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับกลางคืนให้ดูโดดเด่น
- เน้นจุดขายส่วนผสมครีมกันแดด (SPF) บนบรรจุภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์
3. หาเทรนด์ตามฤดูกาลสำหรับการทำตลาดค้าปลีก
ไม่ใช่สินค้าทุกประเภทที่จะได้รับความนิยมตลอดทั้งปี ตัวอย่างที่ชัดเจนคือสินค้าที่เกี่ยวกับคริสต์มาส เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ซื้อของตกแต่งธีมซานต้าในเดือนมิถุนายน และความต้องการสินค้าช่วงเทศกาลจะพุ่งสูงสุดในช่วงปลายปี
สินค้าที่ดูเหมือนไม่ใช่สินค้าตามฤดูกาลก็ยังมีรูปแบบการซื้อที่เป็นวัฏจักร เช่น การค้นหาคำว่า “กล่องข้าว” บน Google Trends จะพุ่งสูงสุดในเดือนสิงหาคม ก่อนเริ่มเปิดเทอมใหม่พอดี
เรามีวิธีใช้ Google Trends ค้นหาวิเคราะห์สินค้าตามฤดูกาล ดังนี้
- วิเคราะห์แบบเทียบปีต่อปี: เปรียบเทียบความสนใจการค้นหาสินค้าของคุณในช่วงเดือนเดียวกันแต่ละปี เพื่อหาแนวโน้มตามฤดูกาลที่สม่ำเสมอ
- มองหารูปแบบ: สังเกตว่าการค้นหาพุ่งสูงในช่วงเหตุการณ์สำคัญ สภาพอากาศ หรือวันหยุดประจำชาติใดบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยบอกเวลาที่เหมาะสมในการเพิ่มกิจกรรมการตลาด
- วิเคราะห์แนวโน้มหมวดหมู่สินค้ากว้างๆ ตามฤดูกาล: ดูภาพรวมเทรนด์ของหมวดหมู่สินค้าที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาต่าง ๆ ของปี เพื่อประเมินว่าความสนใจในหมวดหมู่นั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง การวิเคราะห์ในมุมกว้างนี้ช่วยให้แยกแยะได้ว่าเทรนด์ตามฤดูกาลที่เจอเป็นเฉพาะสินค้าหรือเป็นแนวโน้มตลาดโดยรวม เพื่อวางแผนการตลาดได้แม่นยำขึ้น
4. พิจารณาความเห็นจากลูกค้า
ความคิดเห็นจากลูกค้าควบคู่กับข้อมูลจาก Google Trends เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปิดธุรกิจ สินค้า หรือบริการใหม่ที่มีความต้องการจริง
ออกแบบคำถามปลายเปิดที่กระตุ้นให้ลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายของคุณบอกเล่าปัญหาและช่วงเวลาที่พวกเขาประสบความลำบาก พร้อมทั้งใช้เครื่องมือค้นคว้าคำค้นขั้นสูงอย่าง Semrush หรือ Ahrefs เพื่อเจาะลึกคำค้นแบบ long-tail สำหรับผู้ใช้ที่กำลังหาคำตอบในประเด็นเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับไอเดียสินค้าของคุณ เพื่อยืนยันความน่าสนใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
5. เปรียบเทียบหัวข้อเพื่อดูว่าสิ่งไหนกำลังได้รับความนิยม
ฟีเจอร์ Compare ของ Google Trends ช่วยให้คุณเปรียบเทียบคำค้นหลายคำกับคำค้นอื่น ๆ ได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการขายสินค้าในหลายพื้นที่หรือเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน
สมมติว่าคุณต้องการสร้างกลยุทธ์การตลาดเนื้อหาสำหรับธุรกิจค้าปลีกที่ขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง คุณอยากดึงดูดเจ้าของแมวให้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ จึงเริ่มเขียนบล็อกและสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับแมวที่เป็นประโยชน์ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี Google Trends จะช่วยให้คุณรู้ว่าควรเขียนเรื่องอะไรแทนการเดา เพราะคุณสามารถเปรียบเทียบคำค้นเพื่อทำวิจัยคำหลักได้
สิ่งที่ควรมองหาใน Google Trends
การค้นหาตามพื้นที่
การรู้ว่าพื้นที่ใดค้นหาสินค้าของคุณมากที่สุด เช่น “กาแฟแฮนด์คราฟต์” ที่ได้รับความนิยมในเมืองใหญ่ จะช่วยให้คุณสามารถจัดสรรงบการตลาดค้าปลีกไปยังพื้นที่ที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจความชอบของแต่ละภูมิภาคจะช่วยให้คุณนำเสนอสินค้าตรงกับตลาดที่มีความต้องการสูงที่สุด
วิธีประเมินความต้องการสินค้าในแต่ละภูมิภาค
- กรองข้อมูลตามภูมิภาคย่อย: ใช้เมนู Subregion ด้านล่างกราฟเทรนด์เพื่อเลือกภูมิภาคย่อยต่าง ๆ ภายในประเทศนั้น การทำเช่นนี้จะอัปเดตข้อมูลให้แสดงพื้นที่ที่มีการค้นหาสินค้าของคุณมากที่สุดอย่างแม่นยำ ช่วยให้คุณระบุความสนใจของตลาดตามพื้นที่ได้
- ดูข้อมูลในระดับเมือง: สำรวจข้อมูลในระดับเมืองที่มีให้เลือกในเมนูเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพรวมของพื้นที่เมืองที่มีความสนใจสูงสุด เช่น การค้นหาคำว่า “self-tanner” ที่กรองตามเมือง จะบอกได้ทันทีว่าพื้นที่ใดในสหรัฐฯ ที่มีการค้นหานี้มากที่สุด
- นำข้อมูลไปเปรียบเทียบกับข้อมูลประชากร: แม้ว่า Google Trends จะไม่มีข้อมูลประชากรโดยตรง แต่คุณสามารถใช้ข้อมูลความสนใจในระดับภูมิภาคและเมืองเป็นแนวทางสำหรับการวิจัยข้อมูลประชากรเพิ่มเติมได้
ใช้ข้อมูลจาก Google Trends เพื่อสำรวจทำเลที่ตั้งจริงได้ เช่น หากคุณเป็นแบรนด์กาแฟ คุณสามารถดูพื้นที่เฉพาะที่มีการค้นหาคำนี้มากที่สุด จากข้อมูลนี้ แบรนด์กาแฟที่กำลังพิจารณาจะเปิดร้านใหม่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับรัฐฮาวาย แคลิฟอร์เนีย และโคโลราโด
วลีเฉพาะสำหรับการช้อปปิ้ง
Google Trends ช่วยให้คุณปรับข้อความโฆษณาสินค้าให้ตรงใจลูกค้า ไม่ว่าจะใช้เทคนิคการตลาดขาออกหรือขาเข้า โดยคุณสามารถเปรียบเทียบวลีและคำค้นต่าง ๆ ในเครื่องมือเพื่อเพิ่มบริบทในการวางแผน
นี่คือวิธีทำความเข้าใจภาษาของลูกค้าด้วย Google Trends
- ความหลากหลายของคำค้น: เริ่มต้นด้วยการค้นหาความหลากหลายของคำอธิบายผลิตภัณฑ์ของคุณ เช่น "แฟชั่นที่ยั่งยืน" และ "เสื้อผ้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" เพื่อดูว่าคำใดเป็นที่นิยมมากกว่า
- ข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์: ใช้ตัวกรองภูมิภาคเพื่อเข้าใจว่าความชอบด้านภาษาอาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเลขการค้นหาของคุณแม่นยำที่สุด
- การค้นหาที่กำลังมาแรง: ดูที่ส่วน "การค้นหาที่กำลังมาแรง" เพื่อให้ทันกับคำที่ใช้ในปัจจุบัน บางครั้งหัวข้อที่กำลังมาแรงอาจกระตุ้นให้เกิดแนวคิดสำหรับคำค้นที่เกี่ยวข้อง
คำค้นที่กำลังมาแรงและคำค้นที่พุ่งสูง
Google Trends ให้ข้อมูลคำค้นในอดีตที่ช่วยบ่งชี้เทรนด์ในอนาคตผ่านแนวโน้มการเติบโต โดยเฉพาะในส่วนของคำค้นที่กำลังมาแรง (Rising) และคำค้นที่พุ่งสูง (Breakout) ใช้ตัวกรอง Rising ในส่วนคำค้นหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้องเพื่อจับตาคำที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น อย่าลืมว่า ป้าย Breakout หมายถึงการค้นหาที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 5,000% ซึ่งเป็นสัญญาณของเทรนด์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
วิธีใช้ Google Trends ตรวจสอบความถูกต้องของงานวิจัยสินค้า
ข้อมูลจาก Google Trends เป็นตัวชี้วัดที่ดีของพฤติกรรมการค้นหา แต่ไม่ใช่ทุกเทรนด์ที่กำลังมาแรงจะเป็นสินค้าที่ผู้คนซื้อจริง ๆ ควรตรวจสอบความน่าสนใจของไอเดียสินค้าของคุณ โดยเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแพลตฟอร์มตลาดก่อนที่จะลงทุนหลักพันดอลลาร์ในการพัฒนาสินค้า ด้านล่างนี้คือวิธีใช้ Google Trends รีเช็คความถูกต้องของงานวิจัยสินค้า
- มองหาคู่แข่งที่ขายสินค้าชนิดเดียวกัน: การสังเกตจำนวนคู่แข่งที่มีสินค้านี้อยู่ในตลาดจะช่วยบอกได้ว่าตลาดนั้นอิ่มตัวหรือยังมีโอกาสแตกต่าง
- ค้นหาข้อมูลในตลาดออนไลน์: ประเมินความต้องการ กลยุทธ์ราคาขาย และรีวิวลูกค้าของสินค้าที่คล้ายกันในตลาดต่าง ๆ
- วิเคราะห์เทรนด์บนโซเชียลมีเดีย: แพลตฟอร์มอย่าง TikTok หรือ Pinterest เหมาะกับการจับกระแสความสนใจในช่วงแรก ๆ และช่วยให้เข้าใจว่าสินค้าใน Google Trends สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ ๆ หรือไม่
- สำรวจกลุ่มเป้าหมายของคุณ: การรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าที่เป็นไปได้ช่วยยืนยันว่าความสนใจที่เห็นใน Google Trends แปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจซื้อจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการยืนยันว่าไอเดียสินค้าของคุณจะขายได้
💡เคล็ดลับฉบับโปร: Shopify ช่วยให้คุณขายสินค้าของตัวเองผ่านช่องทางเหล่านี้ได้จากแพลตฟอร์มเดียว รวมสต็อกสินค้า คำสั่งซื้อ และข้อมูลลูกค้าไว้ในที่เดียว เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วนและแม่นยำ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจที่ไหน
ค้นหาสินค้ายอดนิยมเพื่อขายด้วย Google Trends
Google Trends เป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับค้นหาสินค้าที่กำลังมาแรงสำหรับร้านค้าปลีกของคุณ ใช้ข้อมูลนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการวิจัยและตรวจสอบความน่าสนใจของไอเดียด้วยการรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าและเปรียบเทียบกับตลาดต่าง ๆ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการมั่นใจว่าสินค้าที่คุณเลือกมาจริงๆ แล้วจะขายได้
ต้องการความช่วยเหลือมั้ย? Shopify POS รวบรวมข้อมูลจากทุกช่องทางการขายและแสดงผลในรายงานที่เข้าใจง่าย ช่วยให้คุณค้นหาสินค้าขายดีตามพื้นที่ ระบุเทรนด์ตามฤดูกาล และติดตามประสิทธิภาพทีมได้จากแดชบอร์ดเดียว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีใช้ Google Trends เริ่มธุรกิจ
วิธีใช้ Google Trends เริ่มธุรกิจผ่านการวิจัยสินค้าต้องทำยังไง
ไปที่หน้าแรกของ Google Trends แล้วพิมพ์คำหรือวลีที่ต้องการดูข้อมูลการค้นหา คุณจะเห็นกราฟแสดงแนวโน้มการค้นหาของคำคำนั้น พร้อมข้อมูลตามพื้นที่และคำค้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้คุณวางแผนขั้นตอนถัดไปได้ง่ายขึ้น
Google Trends ใช้เริ่มธุรกิจขนาดเล็กได้ยังไงบ้าง
เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้ Google Trends เพื่อค้นหาสินค้าและหัวข้อที่กำลังมาแรง ใช้ข้อมูลนี้เติมเต็มปฏิทินโซเชียลมีเดีย ค้นหาไอเดียสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ และเข้าใจวิธีที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาสินค้าออนไลน์
จะดูว่าสินค้าไหนเป็นที่นิยมได้อย่างไร
วิธีใช้ Google Trends เริ่มธุรกิจเพื่อแสดงจำนวนคนที่ค้นหาวลีใดวลีหนึ่ง ผู้ค้าปลีกสามารถใช้ข้อมูลนี้ประเมินความนิยมของสินค้า ยิ่งมีการค้นหามาก ความต้องการก็จะสูงตามไปด้วย
จะค้นหากลุ่มเฉพาะใน Google Trends ได้อย่างไร
ในการหานิชบน Google Trends ให้คุณสำรวจข้อมูลการค้นหาของคำเฉพาะ เปรียบเทียบวลีต่าง ๆ และตรวจสอบการวิเคราะห์ตามภูมิภาค วิธีนี้จะช่วยให้คุณค้นพบสินค้าที่กำลังมาแรง มีการแข่งขันน้อย และตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ