ในเชิงทฤษฎีแล้ว การเริ่มต้นธุรกิจขายส่งเป็นวิธีที่ดีในการเคลื่อนย้ายสินค้าจำนวนมากโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่ปัญหาใหญ่ที่คุณจะต้องจัดการให้ได้ก็คือเรื่องราคาขายส่ง เพราะถ้าตั้งราคาสูงเกินไป คุณก็จะเสียลูกค้าที่มีศักยภาพ แต่ถ้าตั้งราคาต่ำเกินไป คุณก็จะเหลือกำไรที่ได้ไปลงกับธุรกิจน้อยลง หรืออาจไม่มีเลยก็ได้
ผู้ค้าปลีกทุกคนต่างก็เคยเจอปัญหาเรื่องราคาสินค้า โดยเฉพาะผู้ที่ขายสินค้าแบบขายส่ง ถ้าคุณเจอปัญหานี้ในช่วงหลัง ๆ คนอื่นก็เจอปัญหาไม่ต่างจากคุณเลย
ในคู่มือนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีการคิดราคาขายส่งและขั้นตอนต่าง ๆ ที่คุณสามารถทำตามได้เพื่อสร้างกลยุทธ์การตั้งราคาให้สินค้าของคุณประสบความสำเร็จ
ราคาขายส่งคืออะไร?
ราคาขายส่งคือราคาที่คุณเรียกเก็บจากผู้ค้าปลีกที่ซื้อสินค้าในจำนวนมาก โดยราคาสินค้าจะถูกกว่าราคาขายปลีกเนื่องจากผู้ค้าส่งต้องอาศัยหลักการประหยัดต่อขนาดเพื่อสร้างรายได้
เป้าหมายของการตั้งราคาขายส่ง คือการทำกำไรจากการขายสินค้าในราคาที่สูงกว่าต้นทุนการผลิต ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้เงิน 150 บาทในการผลิตสินค้าหนึ่งชิ้น คุณอาจตั้งราคาขายส่งที่ 300 บาท ซึ่งจะทำให้คุณมีกำไรขั้นต้น 150 บาทต่อหน่วย
ราคาขายส่งเทียบกับราคาขายปลีก
โดยพื้นฐานแล้วราคาขายส่งและราคาขายปลีกเป็นกระบวนการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง การขายส่งจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายสินค้าจากการผลิตไปยังการจัดจำหน่าย ในขณะที่การขายปลีกจะเกี่ยวข้องกับการจัดหาสินค้าและการขายให้กับลูกค้า
ผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายจะเรียกเก็บเงินในราคาขายส่งจากผู้ค้าปลีก จากนั้นผู้ค้าปลีกจะเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งก็คือราคาขายปลีกนั่นเอง
ในธุรกิจค้าปลีก อัตรากำไรมักจะสูงกว่า ถึงแม้จะต้องใช้ความพยายามและเงินมากกว่าในการขายก็ตาม ในทางกลับกัน ราคาขายส่งอาจมีอัตรากำไรที่น้อยกว่า แต่คุณกำลังขายสินค้าในจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่เหนื่อยเท่ากับการขายสินค้า 100 หน่วยให้กับผู้บริโภคโดยตรง แต่กำไรก็จะน้อยกว่าเช่นกัน
วิธีคำนวณเพื่อตั้งราคาขายส่ง
1. ศึกษาตลาด
ก่อนที่คุณจะตั้งราคาสินค้า ให้กำหนดกลุ่มตลาดของคุณและตำแหน่งที่คุณอยู่ในตลาดนั้น ๆ เช่น ลองคิดดูว่าคุณเป็นแบรนด์สินค้าลดราคา แบรนด์ร่วมสมัย หรือแบรนด์ดีไซเนอร์ ซึ่งตรงนี้จะเป็นตัวบอกว่ากลุ่มเป้าหมายจะมองคุณอย่างไร
ในทำนองเดียวกัน หากกลุ่มเป้าหมายของคุณมีงบประมาณจำกัดหรือกำลังมองหาสินค้าไฮเอนด์ ให้คิดถึงปัจจัยเหล่านี้เมื่อทำการวิจัยตลาด โดยลูกค้าส่วนใหญ่นั้นคาดหวังว่าจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น
หากราคาที่ต่ำกว่าคือข้อได้เปรียบในการแข่งขันของคุณเมื่อเทียบกับผู้ค้าส่งรายอื่น อย่าลืมนึกถึงตรงนี้ด้วยในขณะที่คุณหาข้อมูล พยายามคิดถึงจุดคุ้มทุนของคุณ ให้ใช้สูตรจุดคุ้มทุนเพื่อคำนวณตัวเลขนี้
2. คำนวณต้นทุนการผลิต
ต้นทุนสินค้าที่ผลิต (COGM) เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการตั้งราคาขายส่ง เพราะคือต้นทุนรวมในการผลิตหรือซื้อสินค้า รวมถึงวัสดุ แรงงาน และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใด ๆ ที่จำเป็นต่อการนำสินค้าเข้าสู่คลังสินค้าและเตรียมพร้อมสำหรับการขาย เช่น ค่าขนส่งและค่าดำเนินการ โดยให้ใช้สูตรการคำนวณนี้เพื่อหา COGM ของสินค้า ดังนี้
ต้นทุนวัสดุทั้งหมด + ต้นทุนแรงงานทั้งหมด + ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและค่าใช้จ่ายจากการผลิต = ต้นทุนสินค้าที่ผลิต
3. กำหนดกำไรที่ต้องการ
อัตรากำไรเป้าหมายจะช่วยให้คุณกำหนดราคาสินค้าได้อย่างเป็นกลาง หากคุณไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร คุณสามารถใช้โปรแกรมคำนวณราคาขายส่งของ Shopify โดยลองใส่ตัวเลขแล้วคำนวณเล่น ๆ ดูเพื่อให้มองเห็นภาพตามสถานการณ์ต่าง ๆ
เมื่อคุณขายในรูปแบบค้าส่ง คุณมักจะขายในจำนวนที่สูงขึ้นในแต่ละคำสั่งซื้อ ซึ่งช่วยให้คุณขายสินค้าในราคาที่ต่ำลงได้ โดยให้ตั้งเป้าหมายว่าจะได้กำไรที่ 15% ถึง 50% สำหรับสินค้าแต่ละตัวเพื่อให้คุณได้กำไรหลังจากหักค่าใช้จ่าย

4. นึกถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ในขณะที่คุณอาจมีกำไร 60 บาทต่อชิ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อขายสินค้านั้นอาจสูงกว่า 60 บาท ในกรณีนี้คุณจะต้องปรับราคาขายส่งเพื่อให้มีกำไรมากขึ้น
สำหรับการคำนวณราคาขายส่งที่มีการรวมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตรงนี้ไว้ด้วย คุณจะต้องรู้ต้นทุนสินค้าที่ขาย (COGS) และค่าใช้จ่ายทั่วไป รวมถึงค่าเช่า, ค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้า (CAC), ค่าสาธารณูปโภค และค่าธรรมเนียมในการทำร้านค้าออนไลน์ของคุณ
ให้คุณคำนวณต้นทุนสินค้าที่ขาย และผลรวมของค่าใช้จ่ายจากการผลิต เมื่อคุณได้ตัวเลขตรงนี้แล้ว ให้เอามาบวกกันเพื่อที่จะได้ราคาต้นทุนสำหรับสูตรราคาขายส่ง
5. ใช้สูตรราคาขายส่ง
อัตรากำไรขั้นต้นคือกำไรขั้นต้นของผู้ค้าปลีกเมื่อขายสินค้า ยิ่งอัตรากำไรขั้นต้นมากเท่าไรก็ยิ่งดี แต่ผู้ค้าส่งมีเพดานกำไรที่สั้นกว่า โดยจะต้องขายสินค้าในราคาถูกให้ได้จำนวนที่มาก
เมื่อคุณตั้งราคาขายส่ง ขั้นแรกเลยให้นำต้นทุนสินค้าของคุณมาคูณสอง โดยวิธีนี้จะช่วยให้คุณมีกำไรจากการขายส่งอย่างน้อย 50%
ลูกค้าแบบ B2B ที่ซื้อสินค้าขายส่งของคุณจะเพิ่มราคาขึ้นเมื่อนำไปขายผ่านการขายปลีก โดยแบรนด์เสื้อผ้าขายปลีกมักจะตั้งกำไรเป้าหมายจากราคาขายส่งที่ 30% ถึง 50% ในขณะที่ผู้ค้าปลีกที่ให้ผู้บริโภคโดยตรงจะตั้งกำไรเป้าหมายที่ 55% ถึง 65%
วิธีการตั้งราคาขายส่งและตัวอย่าง
กลยุทธ์การตั้งราคาขายส่งนั้นมีอยู่มากมายให้ได้เลือกใช้ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะถ้าคุณเพิ่งจะเริ่มทำธุรกิจแบบขายส่ง คุณไม่จำเป็นต้องรู้ทุกกลยุทธิ์ก็ได้ โดยนี่คือวิธีง่าย ๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้อย่างสะดวกในทุกวันนี้
วิธีการตั้งราคาแบบ Keystone
วิธีการตั้งราคาแบบ Keystone จะค่อนข้างตรงไปตรงมา โดยต้องตั้งราคาขายปลีกของสินค้าเป็นสองเท่าของราคาขายส่ง ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น 100% จากต้นทุนการขายส่ง โดยสูตรคำนวณราคาขายส่งคือ
ราคาขายส่ง = ราคาขาย / 2
นี่อาจเป็นแนวทางการตั้งราคาขายส่งที่ตรงไปตรงมาที่สุดที่คุณสามารถทำได้ เป็นวิธีการทางคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ที่ไม่ต้องอาศัยการคำนวณขั้นสูงเลย
แต่การตั้งราคาแบบ Keystone ก็จะไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น การแข่งขัน ความต้องการ หรือมูลค่าที่รับรู้ ทำให้แนวทางนี้อาจไม่สามารถทำกำไรได้มากพอกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและอาจไม่ได้กำไรเสมอไป
นอกจากนี้คุณจะต้องรู้ราคาขายปลีกสุดท้ายก่อนที่คุณจะตั้งราคาขายส่งได้ ซึ่งเป็นการจำกัดการตั้งราคาของผู้ซื้อในการนำไปขายต่อให้กับลูกค้า
วิธีการตั้งราคาขายส่งแบบ Absorption
การตั้งราคาแบบ Absorption หมายถึงการนำต้นทุนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาคิดเมื่อต้องกำหนดราคา ซึ่งรวมถึงต้นทุนคงที่และอัตรากำไรขั้นต้น โดยเรียกว่า “การตั้งราคาแบบ Absorption” เนื่องจากนำต้นทุนทั้งหมดมาคิดในราคาสุดท้ายของสินค้า
ราคาขายส่ง = ราคาต้นทุน + กำไร
กลยุทธิ์การขายส่งนี้ใช้งานง่ายและไม่ต้องฝึกอบรมหรือใช้สูตรที่ซับซ้อน เป็นวิธีที่แทบจะการันตีกำไรของคุณได้เลย โดยถ้าคุณสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ คุณก็มีโอกาสทำกำไรได้มาก
แต่บ่อยครั้งก็มีช่องโหว่ในการตั้งราคาด้วยวิธีนี้อยู่ เพราะว่าสูตรนี้ยังไม่ได้คิดถึงราคาของคู่แข่งหรือการรับรู้มูลค่า อาจทำให้คุณคิดราคาสินค้าแพงเกินไป ทำให้ผู้ซื้อที่มีศักยภาพหันไปหาผู้ให้บริการรายอื่น
วิธีการตั้งราคาขายส่งแบบ Differentiated
การตั้งราคาแบบ Differentiated เป็นวิธีการตั้งราคาขายส่งที่เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) โดยคำนวณความต้องการของสินค้า โดยในกรณีนี้ ผู้ซื้อแต่ละรายจะจ่ายเงินซื้อสินค้าเดียวกันในราคาที่แตกต่างกันและในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยอาศัยแนวคิดที่ว่าการยอมรับของผู้ซื้อจะเป็นตัวกำหนดราคาในสภาวะตลาดแบบต่าง ๆ
วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่าการกำหนดราคาตามความต้องการ โดยคุณสามารถขายสินค้าตามฤดูกาลได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโดยเฉลี่ยในช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุด ตัวอย่างเช่น ราคาชุดว่ายน้ำอาจสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นฤดูร้อน จากนั้นราคาก็จะลดลเมื่อความต้องการลดลง
วิธีนี้ยังใช้ได้กับพื้นที่การขายที่มีการแข่งขันน้อย ซึ่งลูกค้ามักจะซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้น เช่น สถานที่อย่างรีสอร์ทติดชายหาด หรือภายในสนามบิน
วิธีการตั้งราคาขายส่งแบบนี้สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้สูงสุด โดยใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ตลาดแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณมีศักยภาพในการแข่งขัน และช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผู้ซื้อ นอกจากนี้ เมื่อมีความต้องการสินค้าสูงขึ้น ผู้ซื้อมักเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งหมายความว่าคุณจะทำกำไรได้มากขึ้น
แต่การทำกำไรได้สูงสุดและการตั้งราคาขายลูกค้าขายส่งที่แพงเกินไปนั้นก็มีเส้นแบ่งบาง ๆ อยู่
หากผู้คนมองว่าคุณเป็นพวกฉวยโอกาสหรือรู้สึกว่าคุณกำลังโก่งราคา ตรงนี้จะทำให้ชื่อเสียงแบรนด์ของคุณเสียได้ และคุณเองก็คงไม่อยากเป็นที่รู้จักด้วยอะไรแบบนี้ เพราะลูกค้าจะไม่กลับมาหาคุณอีกเลย
คุณสามารถใช้ Shopify Analytics เพื่อดูข้อมูลยอดขาย สต็อกสินค้า และข้อมูลลูกค้า ได้จากทุกช่องทางที่คุณขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านออนไลน์ ร้านค้าบนโซเชียลมีเดีย หรือช่องทางขายอื่น ๆ โดยระบบจะรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณติดตามผลประกอบการ วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจากที่เดียว
เคล็ดลับการตั้งราคาขายส่ง
ตั้งราคาขายปลีกตามที่ผู้ผลิตแนะนำ
ราคาขายปลีกที่แนะนำ (SRP) หรือที่เรียกว่าราคาขายปลีกที่ผู้ผลิตแนะนำ (MSRP) คือราคาที่ผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่งแนะนำให้ผู้ค้าปลีกตั้งไว้เพื่อขายสินค้าของตน ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวแทนจำหน่ายลดราคาสินค้าของคุณหรือพันธมิตรค้าปลีกรายอื่น
นี่คือสูตรคำนวณราคาขายปลีกที่แนะนำ
ราคาขายส่ง / (1 - เปอร์เซ็นต์การเพิ่มราคา) = ราคาปลีก
ให้ศึกษาตลาดเพื่อดูว่าแบรนด์หรือผู้ค้าปลีกอื่น ๆ ในระดับเดียวกันนั้นตั้งราคากันอย่างไรบ้าง จากนั้นให้คุณย้อนกลับมาดูว่าราคาขายปลีกที่คุณตั้งเป้าไว้นั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยดูจากต้นทุนที่คุณต้องใช้ในการผลิตสินค้าของคุณ
ตัวอย่างเช่น หากราคาขายปลีกที่คุณตั้งเป้าไว้คือ 1,800 บาท และคุณต้องการให้ผู้ค้าส่งของคุณมีกำไร 55% และตัวคุณเองมีกำไร 50% คุณสามารถใช้สูตรการตั้งราคาเพื่อคำนวณราคาขายส่งได้ดังนี้
1,800 บาท (ราคาขายปลีก) x (1 - 0.55) = 810 บาท (ราคาขายส่ง)
ลองใช้กลยุทธ์การตั้งราคาขายส่งแบบคู่ขนาน
กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบคู่ขนานหมายความว่าคุณจะกำหนดราคาขายปลีกภายนอกสำหรับสินค้าที่ลงขายในเว็บไซต์ของคุณที่ลูกค้าของคุณเห็น และกำหนดราคาขายส่งกับลูกค้าแบบ B2B แยกต่างหาก วิธีนี้จะช่วยให้คุณได้กำไรเสมอไม่ว่าคุณจะขายที่ไหน
นี่คือสูตรที่มีประโยชน์ โดยคุณสามารถคำนวณเพื่อกำหนดอัตรากำไรของคุณและตั้งราคาขายส่งและราคาขายปลีกที่แนะนำสำหรับสินค้าของคุณได้
ตัวอย่างเช่น หากคุณออกแบบและผลิตชุดว่ายน้ำและขายทั้งแบบขายส่งและขายปลีก คุณจะต้องดูตัวเลขต่อไปนี้
- COGS: 450 บาทในการผลิตชุดว่ายน้ำหนึ่งชุด
- ราคาขายส่ง: 900 บาท
- SRP: 2,250 บาท
จากนั้น คุณจะสามารถคำนวณเปอร์เซ็นต์กำไรจากการขายส่งและการขายปลีกของคุณได้ตามนี้
- อัตรากำไรจากการขายส่งของคุณ: อัตรากำไรจากการขายส่ง 50% = ราคาขายส่ง 900 บาท - COG 450 บาท / ราคาขายส่ง 900 บาท
- อัตรากำไรของผู้ค้าปลีกเมื่อใช้ SRP ของคุณ: อัตรากำไรจากการขายปลีก 60% = ราคาขายปลีก 2,250 บาท - ราคาขายส่ง 900 บาท / ราคาขายปลีก 2,250 บาท
- อัตรากำไรจากการขายปลีกของคุณเมื่อคุณขายให้ลูกค้าโดยตรง: อัตรากำไรจากการขายปลีก 80% = ราคาขายปลีก 2,250 บาท - COG 450 บาท / ราคาขายปลีก 2,250 บาท
กลยุทธ์การตั้งราคาขายส่งและขายปลีกนี้จะทำให้คุณได้กำไรขั้นต้น 50% จากคำสั่งซื้อแบบขายส่งและ 80% จากคำสั่งซื้อจากลูกค้าโดยตรง
เคล็ดลับพิเศษ: ผู้ค้าของ Shopify สามารถสร้างร้านค้าสำหรับลูกค้าแบบ B2B ได้จากแพลตฟอร์มการขายเดียวกันกับที่ใช้กับร้านค้าอีคอมเมิร์ซและร้านค้าปลีกของตนเอง และยังสามารถรวมข้อมูลสินค้าคงคลัง ลูกค้า และคำสั่งซื้อของคุณเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เพียงแหล่งเดียว ไม่ว่าคุณจะขายที่ไหน (และขายให้ใคร)
พิจารณาเรื่องจำนวนที่ขายได้
เมื่อกำหนดราคาขายส่ง ให้พิจารณาว่าลูกค้าที่เป็นผู้ค้าปลีกของคุณสั่งซื้อเป็นจำนวนมากแค่ไหน การทำราคาขายส่งให้ต่ำสำหรับการสั่งซื้อเป็นจำนวนมากนั้นสามารถจูงใจลูกค้ารายใหญ่ได้ แต่ในทางกลับกัน หากคุณคาดว่าจะมีจำนวนการสั่งซื้อที่น้อยลง คุณอาจต้องปรับราคาขายส่งเพื่อที่จะยังขายแล้วได้กำไรอยู่
ตั้งราคาอย่างมีชั้นเชิงให้สอดคล้องกับจำนวนการขายที่คาดหวัง เพื่อให้สามารถทำราคาที่ดึงดูดลูกค้าได้ และได้กำไรจากการขายอย่างยั่งยืน คุณอาจต้องใช้จำนวนการสั่งซื้อขั้นต่ำ เมื่อคุณต้องขายสินค้าให้ได้จำนวนที่ต้องการเพื่อให้มีกำไร อาจจะกำหนดจำนวนการสั่งซื้อขั้นต่ำไว้ที่ 50 หน่วย โดยที่ผู้ค้าส่งต้องสั่งซื้อในจำนวนที่มากกว่าขั้นต่ำนี้
คอยเช็คราคาขายส่งอยู่เรื่อย ๆ
คู่แข่งใหม่ ซัพพลายเออร์ที่มีต้นทุนต่ำกว่า และความผันผวนของความต้องการของลูกค้านั้นอาจมีผลต่อกลยุทธ์การตั้งราคาขายส่งของคุณ
นี่คือสาเหตุหลัก ๆ ที่คุณต้องคอยเช็คและตรวจสอบราคาขายส่งเป็นประจำ เพื่อที่คุณจะได้มีกำไรและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน และอย่าลืมนึกถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณด้วย เนื่องจากต้นทุนการผลิตอาจเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
บริหารจัดการราคาขายส่งด้วย Shopify
มาถึงตรงนี้คุณก็เข้าใจสูตรการคำนวณราคาสินค้ามากขึ้นแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาสร้างกลยุทธ์การตั้งราคาขายส่งของคุณเอง
ใช้สูตรด้านบนเพื่อสร้างแผนภูมิต้นทุนที่คุณสามารถใส่ตัวเลขได้ทุกครั้งที่คุณต้องการตั้งราคาสินค้าใหม่ โดยคุณจะสามารถคำนวณค่าทางการเงินอย่างต้นทุนสินค้า ราคาขายส่ง อัตรากำไรจากการขายส่ง ราคาขายปลีก และอัตรากำไรจากการขายปลีกได้
แพลตฟอร์มการค้าขายแบบครบวงจรของ Shopify ช่วยให้การขายส่งและขายตรงให้กับลูกค้าจากระบบปฏิบัติการเดียวกันง่ายกว่าที่เคย สร้างหน้าร้านที่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่านเพื่อแสดงรายการราคาขายส่งสำหรับผู้ซื้อที่เป็นธุรกิจที่ได้รับอนุมัติผ่านการเข้าสู่ระบบบัญชีของตนเอง โดยใช้ข้อมูลคลังสินค้าเดียวกับที่ใช้ในหน้าร้านที่ขายให้กับลูกค้าโดยตรง
Nicolas Lukac ผู้อำนวยการฝ่ายช่องทางการขายเกิดใหม่ของ Brooklinen กล่าวว่า “ใน Shopify Plus ทีมงานของเรามีอิสระและพื้นที่ในการสานสัมพันธ์กับลูกค้าที่ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจกับพวกเขาเพียงอย่างเดียว เราใช้เวลาทำความเข้าใจลูกค้ามากขึ้นและลดเวลาในการป้อนข้อมูลด้วยตนเองลง ซึ่งทำให้เราสามารถมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าแบบ DTC, B2B และลูกค้าจากการขายปลีกได้”
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตั้งราคาขายส่ง
สูตรสำหรับราคาขายส่งมีอะไรบ้าง?
นี่คือสูตรคำนวณราคาค้าส่งที่ง่ายที่สุด: ราคาขายส่ง = ต้นทุนสินค้า + กำไรที่ต้องการ
วิธีตั้งราคาขายส่งคืออะไร?
วิธีตั้งราคาขายส่งจะคำนึงถึงจุดคุ้มทุนของคุณ โดยจะรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดและค่าใช้จ่ายทางธุรกิจของคุณเข้าด้วยกัน จากนั้นคูณตัวเลขนี้ด้วยอัตรากำไรที่ต้องการเพื่อคำนวณราคาขายส่ง
อัตรากำไรจากการขายส่งที่ดีคือเท่าไร?
อัตรากำไรจากการตั้งราคาขายส่งที่ดีจะอยู่ตั้งแต่ 15% ถึง 50% โดยผู้ค้าปลีกมักจะเพิ่มราคาของตน (ตั้งแต่ 35% ถึง 65%) เมื่อขายสินค้าขายส่งให้กับลูกค้าของตน
กลยุทธ์การตั้งราคาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ค้าส่งคืออะไร?
วิธีการตั้งราคาแบบ Keystone เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้ค้าส่ง โดยจะตั้งราคาขายส่งที่ 50% ของราคาขายปลีก
ราคาขายส่งกับราคาขายปลีกต่างกันอย่างไร?
ผู้ค้าปลีกจะตั้งราคาขายปลีกและเป็นราคาสุดสำหรับการขายให้ลูกค้า ในขณะที่ราคาขายส่งมักจะต่ำกว่าราคาขายปลีกมาก เนื่องจากผู้ค้าปลีกจะได้รับส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าครั้งละมาก ๆ