หากคุณเคยไปที่โชว์รูมรถยนต์ในช่วงไม่กี่ปีหลังนี้ คุณอาจสังเกตได้ว่าพนักงานขายมีความพยายามมากขึ้นที่จะนำเสนอรถกระบะและรถ SUV มากกว่ารถเก๋ง เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาชื่นชอบการบรรทุกขนส่งของ แต่เหตุผลจริงๆ แล้วไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นก็เพราะว่ารถ SUV และรถกระบะมีอัตรากำไรสูงกว่ารถเก๋ง โดยรถ SUV รถกระบะ และรถเก๋งมีต้นทุนการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่รถ SUV และรถกระบะมีราคาขายปลีกที่สูงกว่า ทำให้ผู้ขายได้กำไรสุทธิที่มากขึ้นนั่นเอง
แต่ไม่ว่าคุณจะขายอะไร สิ่งสำคัญที่จะทำให้มีอัตรากำไรสูงคือการควบคุมต้นทุนไปพร้อมกับการขายให้ได้ในราคาสูง กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลด้วยวิธีการแบบนี้เอง
สินค้ากำไรดีคืออะไร?
สินค้ากำไรดีคือสินค้าที่ทำกำไรจากการขายแต่ละหน่วยได้อย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่าคุณใช้เงินน้อยกว่าที่ลูกค้าของคุณใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้า ลองนึกภาพว่าคุณขายเสื้อยืดพิมพ์ลายตามสั่งในราคา 12 ดอลลาร์ แต่ต้นทุนอุปกรณ์ วัตถุดิบ และค่าแรงของคุณอยู่ที่ 11 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าคุณมีกำไรสุทธิเพียง 1 ดอลลาร์เท่านั้นจากการขายเสื้อแต่ละตัว แต่ถ้าคุณคงต้นทุนเท่าเดิมและขึ้นราคาเป็น 20 ดอลลาร์ อัตรากำไรของคุณก็จะเพิ่มเป็นตัวละ 9 ดอลลาร์ พูดอีกอย่างก็คือ คุณเปลี่ยนจากสินค้าที่มีกำไรต่ำไปเป็นสินค้าที่มีกำไรสูง
วิธีการคำนวณอัตรากำไร
การคำนวณอัตรากำไรจะใช้สูตรง่ายๆ ตามนี้:
ราคาขายปลีก - ต้นทุนการผลิต = อัตรากำไร
ราคาขายปลีกคือจำนวนเงินที่ลูกค้าจ่ายให้คุณเพื่อซื้อสินค้า ต้นทุนการผลิตจะประกอบด้วยค่าวัตถุดิบ ค่าเครื่องจักร ค่าแรง และค่าขนส่ง หากคุณใช้การทำบัญชีแบบเกณฑ์คงค้าง คุณอาจรวมงบการตลาดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิตด้วย
ทำไมคุณควรให้ความสำคัญกับสินค้ากำไรดี
อัตรากำไรที่สูงจะทำให้ธุรกิจเติบโต เพราะจะทำให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูง เมื่อผู้ค้าปลีกออนไลน์มีสินค้ากำไรดีอยู่ในร้านค้าออนไลน์ ก็จะทำให้ได้เงินมากขึ้นในการขายแต่ละครั้ง
ลองดูร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ขายสินค้า 2 รายการคือ สินค้า A และสินค้า B โดยทั้งสองสินค้านี้ตั้งราคาขายไว้ที่ 100 ดอลลาร์ แต่ธุรกิจออนไลน์ต้องจ่ายเงิน 88 ดอลลาร์ในการผลิตหรือจัดหาสินค้า A และจ่ายเพียง 61 ดอลลาร์ในการผลิตหรือจัดหาสินค้า B นั่นหมายความว่าสินค้า A มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12 ดอลลาร์ ในขณะที่สินค้า B มีกำไรสุทธิถึง 39 ดอลลาร์ ดังนั้น ถึงแม้ลูกค้าจะจ่ายเงินเท่ากันเพื่อซื้อสินค้าทั้งสองนี้ แต่ผู้ขายจะทำกำไรได้สูงกว่ามากจากการขายสินค้า B ในร้านค้าออนไลน์ของตน เนื่องจากมีอัตรากำไรสุทธิเชิงเปรียบเทียบที่สูงกว่ามาก
สินค้า 5 ประเภทที่เป็นสินค้ากำไรดี
หากคุณกำลังมองหาสินค้ากำไรดีมาขายในธุรกิจออนไลน์ของตัวเอง ตัวเลือกสินค้านั้นก็มีอยู่มากมาย สินค้าบางตัวมีราคาขายปลีกสูง ในขณะที่สินค้าบางตัวมีต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสินค้ากำไรดีสำหรับร้านค้าออนไลน์ นี่คือสินค้า 5 ประเภทที่คุณควรดูไว้:
1. สินค้าเฉพาะทาง
สินค้าในหมวดนี้ประกอบด้วยอุปกรณ์เสริมสำหรับโทรศัพท์ อุปกรณ์ครัว นาฬิกา และของสะสม เช่น การ์ดสะสม สินค้าเหล่านี้มักสามารถผลิตได้ในจำนวนที่มากโดยมีต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ แต่สามารถตั้งราคาขายที่สูงขึ้นได้มาก เนื่องจากมีความต้องการจากตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) สินค้าเฉพาะกลุ่มบางอย่าง เช่น อุปกรณ์เสริมโทรศัพท์ มีกลุ่มที่ต้องการสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก ในขณะที่สินค้าบางประเภท เช่น นาฬิการุ่นพิเศษ กลับมีตลาดเป้าหมายในวงจำกัดกว่า โดยมีแบรนด์อย่าง Timbuk2 ซึ่งผลิตกระเป๋าแบบพิเศษ และ One Blade Shave ได้สร้างร้านค้าออนไลน์ Shopify ของตนขึ้นจากการขายสินค้าเหล่านี้
2. สินค้าสำหรับเด็ก
หมวดหมู่นี้ตอบสนองต่อพ่อแม่ที่ต้องการช้อปปิ้งสินค้าสำหรับลูกๆ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เป็นที่รู้กันว่าผู้คนใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อของเล่นเด็ก โดยรายได้ที่คาดการณ์สำหรับตลาดนี้อยู่ที่ 40.1 พันล้านดอลลาร์เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว โดยของเล่นสำหรับเด็กหลายชิ้นสามารถผลิตได้ในราคาที่ต่ำและขายในราคาที่สูง บริษัทที่ใช้ Shopify เช่น Babylist ก็เติบโตขึ้นในตลาดสินค้าที่มีความต้องการสูงนี้
3. เทียน
การขายเทียนสามารถทำกำไรได้ดี โดยอัตรากำไรอยู่ที่ 25% ถึง 50% ซึ่งอัตรากำไรเหล่านี้เกิดจากเครือข่ายผู้ผลิตเทียนในต่างประเทศที่สามารถผลิตตามคำสั่งซื้อจำนวนมากได้ในราคาที่ต่ำ และคุณยังสามารถทำกำไรสูงได้เมื่อคุณทำเทียนขายเอง เพราะวัตถุดิบส่วนใหญ่นั้นมีราคาถูก
4. สินค้าแปะป้ายแบรนด์ตามสั่ง
สินค้าแปะป้ายแบรนด์ตามสั่งคือสินค้าที่เมื่อผู้ผลิตผลิตสินค้าตามสั่งสำหรับผู้ค้าปลีกตามคำสั่งและข้อกำหนดของผู้ค้าปลีก ผู้ค้าอีคอมเมิร์ซสามารถร่วมมือกับผู้ผลิตเพื่อสร้างสินค้าแปะป้ายแบรนด์ตามสั่งแบบสั่งผลิตเพื่อขายออนไลน์ได้ หมวดหมู่นี้ประกอบด้วยเสื้อผ้า เครื่องประดับ อุปกรณ์แฟชั่น และสินค้าสุขภาพและความงามแบบสั่งทำ บริษัทต่างๆ เช่น Victoria Beckham Beauty, Blume และ Frank Body ได้สร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซในหมวดหมู่นี้ที่ประสบความสำเร็จได้
5. ดรอปชิปปิ้ง
ดรอปชิปปิ้งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำกำไรดีสำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จ ในธุรกิจแบบดรอปชิปปิ้ง พ่อค้าอีคอมเมิร์ซจะขายสินค้าที่ผลิต เก็บสต๊อก และจัดส่งโดยบริษัทอื่น โดยคุณสามารถขายสินค้าหลากหลายประเภทผ่านผู้ให้บริการดรอปชิป เช่น กาแฟ เสื้อผ้า และ เคสโทรศัพท์ ธุรกิจแบบดรอปชิปปิ้งทำกำไรได้ดีเพราะคุณไม่จำเป็นต้องเช่าพื้นที่ร้านค้าหรือคลังสินค้า และไม่ต้องจ้างพนักงานมาผลิตสินค้า
คุณสมบัติของสินค้ากำไรดีในธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีอะไรบ้าง?
- คุณภาพ
- ความต้องการและการแข่งขัน
- ต้นทุนการผลิตและการจัดหา
- ต้นทุนค่าขนส่งและการบริหารจัดการคำสั่งซื้อ
- การตั้งราคา
การขายออนไลน์ได้ในปริมาณที่มากไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไรสูงเสมอไป สำหรับสินค้าอีคอมเมิร์ซที่จะทำกำไรได้ดีนั้นจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์นี้:
1. คุณภาพ
ลูกค้าคาดหวังสินค้าคุณภาพสูง ในขณะที่สินค้าคุณภาพต่ำทำให้เกิดการคืนสินค้าจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายของธุรกิจของคุณเพิ่มขึ้นและลดกำไรให้น้อยลง ปัญหานี้สามารถเลี่ยงได้ด้วยการสร้างกระบวนการประกันคุณภาพที่มีประสิทธิภาพเพื่อเป็นการรับประกันว่าคุณจะขายสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสม่ำเสมอ
2. ความต้องการและการแข่งขัน
การแข่งขันที่สูงเกินอาจนำไปสู่สงครามราคา ซึ่งอาจทำให้กำไรของบริษัทลดน้อยลงได้ การวิจัยตลาดสามารถทำให้รู้ได้ถึงความต้องการของลูกค้าในสินค้าต่างๆ และช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงตลาดการค้าที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้วได้
3. ต้นทุนการผลิตและการจัดหา
ต้นทุนการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบ รวมถึงวัตถุดิบ อุปกรณ์ อสังหาริมทรัพย์ และค่าจ้างแรงงาน ถือเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจหลักของบริษัทส่วนใหญ่ หากคุณลดต้นทุนการผลิตลงได้ คุณก็สามารถเพิ่มอัตรากำไรได้โดยไม่ต้องขึ้นราคาสินค้าเลย
4. ต้นทุนค่าขนส่งและการบริหารจัดการคำสั่งซื้อ
ขนาด น้ำหนัก และความทนทานของสินค้าส่งผลโดยตรงต่อค่าขนส่งไปยังผู้บริโภค สินค้าที่มีขนาดเล็กและเบากว่าจะมีค่าขนส่งถูกกว่า และสินค้าที่มีความทนทานก็ไม่จำเป็นต้องมีบรรจุภัณฑ์พิเศษในการจัดส่ง โดยคุณสามารถทำกำไรได้มากจากการขายสินค้าที่มีน้ำหนักมากและขนาดใหญ่ เช่น อุปกรณ์ฟิตเนส แต่จะง่ายกว่าหากคุณจัดส่งสินค้าที่มีน้ำหนักเบา เช่น เสื้อผ้าหรือสินค้าความงาม
5. การตั้งราคา
คุณสามารถเพิ่มผลกำไรได้ด้วยการขึ้นราคา แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะคุณคงไม่อยากตั้งราคาจนสูงเกินตลาด ทั้งนี้ การศึกษาราคาของคู่แข่งจะช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าเต็มใจที่จะจ่ายซื้อได้
4 เคล็ดลับทำกำไรจากสินค้าให้ได้มากที่สุด
ไม่ว่าคุณจะเปิดธุรกิจใหม่หรือปรับปรุงธุรกิจที่ทำอยู่ คุณสามารถเพิ่มอัตรากำไรได้โดยทำตามเคล็ดลับง่ายๆ นี้:
1. มองหาโอกาสในตลาดเฉพาะที่มีความต้องการสูงแต่มีอุปทานต่ำ
คุณจะมีอิสระในการตั้งราคาได้อย่างที่ต้องการหากอุตสาหกรรมของคุณยังไม่มีคู่แข่งอยู่เลย บางทีใจคุณอาจอยากทำเครื่องประดับสำหรับผู้หญิง แต่สมองของคุณอาจแนะนำให้คุณมีสินค้าสำหรับเด็กไว้ขายด้วย
2. เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อขอราคาส่วนลด
ลองนึกถึงการเพิ่มอัตรากำไรจากอีกทางหนึ่งโดยที่ไม่ต้องไปขึ้นราคาขายกับลูกค้าของคุณ ด้วยการค้นหาซัพพลายเออร์และเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด
3. แนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง
ทุกครั้งที่ลูกค้าอยู่ในเว็บไซต์หรือกำลังดูร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณ คุณสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการเข้าชมได้โดยการแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเพิ่มยอดซื้อตะกร้าสินค้าของลูกค้าและสร้างโอกาสทำกำไรมากขึ้นได้
4. คงราคาตามตลาดไว้ให้ได้
เป็นธรรมดาที่เราจะอยากทำกำไรจากการขายสินค้าให้ได้มากที่สุด แต่ความคาดหวังของคุณควรสอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาด เพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณจะได้กำไรก็ต่อเมื่อลูกค้ายอมซื้อสินค้าของคุณเท่านั้น คุณอาจเลือกตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มกำไรของตัวเอง แต่ควรดูด้วยว่าราคาของคุณยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดหรือไม่
ขยายธุรกิจด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้น
ตราบใดที่คุณทำตามแนวทางที่ดีที่สุดและตั้งราคาที่ลูกค้าพึงพอใจ การเพิ่มอัตรากำไรก็สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณแข็งแกร่งและเติบโตได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสินค้ากำไรดี
สินค้าใดที่มีกำไรสูงสุด?
สินค้าที่มีอัตรากำไรสูงที่สุดคือสินค้าที่ต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าราคาที่ลูกค้ายินดีจ่ายอย่างมีนัยสำคัญ สินค้าเฉพาะกลุ่มที่ตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม สินค้าสำหรับเด็ก และเทียนหอม เป็นตัวอย่างของสินค้าที่ขึ้นชื่อว่ามีศักยภาพในการสร้างกำไรสูง
อะไรคือความยากในการขายสินค้ากำไรดี?
การขายสินค้ากำไรดีอาจให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่ก็มีความยากเป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน หลักๆ แล้ว ความยากคือการรักษาสมดุลระหว่างต้นทุนและราคาขายปลีก เมื่อต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น คุณอาจอยากขึ้นราคาเพื่อให้ได้อัตรากำไรที่สูงอยู่ แต่หากขึ้นราคาเร็วเกินไป คุณก็อาจสูญเสียลูกค้าได้
อีกหนึ่งความยากคือการยอมรับว่ากระบวนการสร้างสรรค์ที่สนุกและสร้างแรงบันดาลใจที่สุด อาจไม่ใช่วิธีที่ทำกำไรได้มากที่สุดเสมอไป ตัวอย่างเช่น คุณอาจอยากทำธุรกิจเครื่องประดับ แต่กลับพบว่าคุณทำกำไรได้มากกว่าจากการผลิตเครื่องประดับแฟชั่นครั้งละเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่การทำจี้ห้อยคอแบบแฮนด์เมดทีละชิ้น คุณจึงต้องถามตัวเองว่าพร้อมที่จะแลกตรงนี้หรือไม่?
จะหาไอเดียสินค้ากำไรดีได้จากที่ไหน?
คุณสามารถหาไอเดียสินค้าดีๆ ได้จากการทำวิจัยตลาดแบบง่ายๆ ลองติดตามเทรนด์การค้นหาทั่วโลกหรือในประเทศผ่านเครื่องมือ Google Trends หรือดูแฮชแท็กบนโซเชียลมีเดีย หรืออาจเข้าไปดูแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคู่แข่งและดูว่าพวกเขาขายอะไรบ้าง โดยบางครั้งพวกเขาอาจพูดถึงสินค้าขายดีของตน ซึ่งจะเป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริโภคสนใจจะซื้อ
จะขายสินค้ากำไรดีทางออนไลน์ได้ที่ไหน?
วิธีที่ดีที่สุดในการขายสินค้ากำไรดีทางออนไลน์คือการขายผ่านร้านค้าออนไลน์ของคุณเอง โดยสำหรับผู้ประกอบการหลายคนแล้วจะหมายถึงการสร้างเว็บไซต์ด้วยเครื่องมืออย่าง Wix, Squarespace, Weebly หรือ WordPress แล้วเชื่อมต่อร้านค้าออนไลน์ของคุณผ่าน Shopify เข้ากับเว็บไซต์โดยตรง นอกจากนี้คุณยังสามารถขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่น เช่น Etsy หรือ Instagram ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอีกด้วย แต่การขายผ่านช่องทางเหล่านี้ก็จะมีค่าคอมมิชชั่นการขาย ซึ่งอาจทำให้คุณได้กำไรน้อยลง