eBay ไม่ได้แค่เปิดโอกาสให้คุณขายของ แต่ยังมีเครื่องมือเด็ดๆ ช่วยดันสินค้าของคุณให้เจอลูกค้ามากขึ้น ด้วยการใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่ของ eBay คุณสามารถเสริมพลังให้ร้านค้าออนไลน์ที่มีอยู่ และเข้าถึงลูกค้าจากทั่วโลก เพิ่มยอดขายและขยายธุรกิจให้โตขึ้นเรื่อยๆ
อย่าลืมว่า ถึงคุณจะมีร้าน Shopify อยู่แล้ว การขยายไปสู่หลายช่องทางขาย เช่น eBay คืออีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสทองทางธุรกิจ
การขายบน eBay เริ่มได้ง่ายๆ ด้วยการตั้งค่าบัญชี จากนั้นก็แค่เพิ่ม ปรับแต่ง และโปรโมตสินค้า แถมยังตั้งค่าการจัดส่ง และเชื่อมต่อกับ Shopify ได้ในไม่กี่คลิก
ในคู่มือการขายบน eBay นี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนแบบครบถ้วน พร้อมเคล็ดลับดีๆ ที่คนขายของออนไลน์ไม่ควรพลาด
วิธีขายบน eBay สำหรับมือใหม่ใน 7 ขั้นตอน
- สมัครบัญชี eBay
- ตั้งค่าบัญชีผู้ขาย
- สร้างรายการสินค้า
- ปรับชื่อและคำอธิบายสินค้าให้น่าสนใจ
- ตั้งค่าการจัดส่งสินค้า
- เชื่อมต่อ eBay กับร้านค้า Shopify
- โปรโมทสินค้าให้มีคนเห็นมากขึ้น
1. สมัครบัญชี eBay
ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่จดทะเบียน (ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของคนเดียว บริษัท หรือรูปแบบอื่นๆ) คุณสามารถเปิดบัญชีผู้ขายผ่านหน้าลงทะเบียนได้เลย โดยจะต้องกรอกข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ชื่อธุรกิจ ประเภทของธุรกิจ และที่อยู่
- ไปที่หน้าลงทะเบียน
- กรอกชื่อธุรกิจและอีเมล
- ตั้งรหัสผ่าน
- ระบุสถานที่ตั้งธุรกิจ
- คลิก “สร้างบัญชี”
ในขั้นตอนนี้คุณสามารถตั้งชื่อผู้ใช้งานได้ด้วย (เปลี่ยนภายหลังก็ได้)
2. ตั้งค่าบัญชีผู้ขาย
หลังจากคุณสร้างบัญชีแล้ว eBay จะส่งอีเมลมาให้คุณยืนยันบัญชีของคุณ
จากนั้นระบบจะพาคุณไปยังขั้นตอนต่างๆ เพื่อกรอกข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ เช่น ประเภทของธุรกิจ (เจ้าของคนเดียว ธุรกิจจดทะเบียน หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร) รวมถึงที่อยู่ธุรกิจ ข้อมูลผู้ติดต่อ และบัญชีธนาคาร
เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว ให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนยืนยัน แล้วคุณจะเข้าสู่หน้าโฮมเพจของ eBay พร้อมเริ่มต้นขายได้ทันที
3. สร้างรายการสินค้า
วิธีขายบน eBay ขั้นตอนต่อมา หากคุณมีสินค้าพร้อมจำหน่ายอยู่แล้ว ก็สามารถเริ่มต้นลงรายการขายได้เลย แต่ถ้ายังเป็นผู้ขายใหม่ คุณต้องเพิ่มสินค้าลงในร้านค้าก่อน
เมื่อสินค้าพร้อมแล้ว ให้เลือก “สร้างรายการสินค้า” จากเมนูดรอปดาวน์ Listings ในหน้าผู้ขายของ eBay (Seller Hub)
ตั้งค่ารายละเอียดต่อไปนี้สำหรับรายการสินค้าบน eBay ของคุณ
- ชื่อสินค้าหรือรหัสอ้างอิงสินค้า
- คำอธิบายสินค้า
- หมวดหมู่และข้อมูลจำเพาะ
- จำนวนสินค้า ราคา น้ำหนัก และตัวเลือกเพิ่มเติม
- ขนาดพัสดุและรายละเอียดการจัดส่ง
- รายละเอียดเฉพาะของสินค้าและตัวเลือก (เช่น สี ไซส์)
- สภาพสินค้า
- การตั้งค่าราคา
คุณจะสามารถเพิ่มรูปภาพสินค้าและวิดีโอได้ในขั้นตอนนี้ด้วย
เมื่อพร้อมแล้ว คลิก “บันทึกการเปลี่ยนแปลงของคุณ (Save your changes)” เพื่อเผยแพร่รายการสินค้าให้ลูกค้าเห็น
4. ปรับชื่อและคำอธิบายสินค้าให้น่าสนใจ
ผู้ซื้อส่วนใหญ่ค้นหาสินค้าบน eBay ด้วยการใช้คำค้น (คีย์เวิร์ด) ที่เฉพาะเจาะจง eBay จึงช่วยจับคู่นักช้อปกับสินค้าที่ตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ และช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น
เขียนคำอธิบายสินค้าให้ได้ผล
คำอธิบายสินค้าที่เขียนได้ดี มีผลต่อยอดขายโดยตรง ควรเน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ แทนที่จะบอกเพียงแค่คุณสมบัติของสินค้า เช่น แทนที่จะบอกว่า “ขวดน้ำผลิตจากวัสดุ X” ให้เปลี่ยนเป็น “ขวดน้ำที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้เย็นได้นาน” และจัดรูปแบบด้วยหัวข้อย่อย เพื่อให้ข้อมูลไม่ดูแน่นจนเกินไป
การใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรหัสสินค้า จะช่วยให้สินค้าของคุณแสดงผลเมื่อมีคนค้นหาสินค้านั้นๆ บน eBay
คุณสามารถแก้ไขชื่อเรื่องและคำอธิบายของแต่ละรายการสินค้าได้ โดยควรใช้คำค้นที่ลูกค้ามักใช้จริง ตัวอย่างเช่น
- รองเท้าผ้าใบ Nike Air Yeezy สีดำแดง ผู้ชาย
- iPhone 7s 32GB สีดำ ปลดล็อกแล้ว
- กระดานฝึกเทควันโดแบบหักได้ สำหรับเด็ก
- กระถางแขวนต้นไม้แบบถัก เชือกสีน้ำตาล ขนาดใหญ่
เพื่อให้สินค้าของคุณค้นหาเจอ ควรใส่คีย์เวิร์ดเหล่านี้ในชื่อรายการ เช่น
- ยี่ห้อ (เช่น Nike, Apple)
- รุ่น (เช่น Air Yeezy, iPhone)
- ประเภทสินค้า (เช่น รองเท้า, กระดานฝึก)
- สี (เช่น ดำ, แดง, สายรุ้ง)
- ขนาด (เช่น ไซส์ 10, รอบเอว 35 นิ้ว)
ในคำอธิบายสินค้า ให้ใส่ข้อมูลเพิ่มเติมที่ผู้ซื้ออาจอยากรู้ เช่น
- ขนาดหรือมิติต่างๆ ของสินค้า
- ควรเลือกไซส์อย่างไร
- มีอะไรแถมมาด้วย
- เป็นสินค้าพรีเมียมหรือไม่
ยิ่งคุณให้ข้อมูลชัดเจน ลูกค้าก็ยิ่งตัดสินใจง่ายขึ้น และคุณเองก็จะตอบคำถามซ้ำๆ จากลูกค้าน้อยลงด้วย อย่าลืมใช้การเขียนที่อ่านง่าย และเว้นวรรคให้พอดี โดยใช้หัวข้อย่อยแทนย่อหน้ายาวๆ
เป้าหมายคือทำให้สินค้าของคุณแสดงผลในการค้นหา และเมื่อมีคนคลิกเข้ามา ก็ได้รับข้อมูลเพียงพอจนตัดสินใจสั่งซื้อได้ทันที
ใส่ภาพสินค้าที่สวยและคมชัด
ภาพสินค้ามีความสำคัญพอๆ กับคำอธิบาย ควรใช้ภาพคุณภาพสูง บนพื้นหลังสีขาว เพื่อให้ดูสะอาดตา และลูกค้าสามารถดูรายละเอียดได้ง่าย หากสินค้าแตกต่างจากทั่วไป เช่น มีดีไซน์พิเศษ หรือใช้ในสถานการณ์เฉพาะ ควรเพิ่มภาพโคลสอัพ หรือภาพไลฟ์สไตล์ประกอบด้วย
กำหนดราคาสินค้า
ตลาดของ eBay มีขนาดใหญ่มาก โดยมีผู้ขายนำเสนอสินค้าชนิดเดียวกันในหลากหลายระดับราคา ผู้ซื้อจะตัดสินใจซื้อจากหลายปัจจัย เช่น ความหลากหลายของสินค้า ค่าจัดส่ง และเงื่อนไขการขาย แต่ราคาที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่งก็ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
ในวิธีขายบน eBay คุณสามารถเลือกกลยุทธ์การจัดจำหน่ายได้ 2 แบบ
- ประมูลออนไลน์ (Online Auction) การประมูลจะใช้เวลาระหว่าง 1 ถึง 10 วัน และบางครั้งสามารถทำให้คุณขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น วิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้ซื้อแข่งขันกันเสนอราคา เพียงแค่คุณตั้งราคาตั้งต้นให้ดึงดูด การขายแบบประมูลเหมาะกับสินค้าที่มีความต้องการสูงแต่มีจำนวนจำกัด เช่น ของสะสมกีฬาหายาก และยังเหมาะในกรณีที่คุณไม่แน่ใจว่าจะตั้งราคาสินค้าเท่าไหร่ดี
- ซื้อทันที (Buy It Now) หรือที่เรียกว่าการตั้งราคาขายคงที่ ผู้ซื้อสามารถกดซื้อและรอจัดส่งได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้การประมูลจบ การขายแบบ Buy It Now เหมาะกับสินค้าที่ลูกค้ามักตัดสินใจซื้อง่าย หรือสินค้าที่มีในสต็อกมาก
วิธีขายบน eBay รองรับช่องทางการชำระเงินดังนี้
- Apple Pay
- บัตรเครดิตและเดบิต
- บัตรของขวัญ eBay, บัตรกำนัล eBay และ eBay Bucks
- Google Pay
- ชำระเงินเมื่อรับสินค้า
- PayPal และ PayPal Credit
- ยอดเงินที่ใช้ได้ในบัญชี eBay
ในบางหมวดหมู่หรือกรณีพิเศษ อาจรองรับ
- เช็ค
- Escrow (ชำระเงินผ่านบุคคลที่สาม)
- บริการชำระเงินออนไลน์อื่น ๆ เช่น Allpay.net, CertaPay, Fiserv, Nochex.com, XOOM ฯลฯ
- โอนเงินผ่านธนาคารหรือสายการเงิน
5. ตั้งค่าการจัดส่งสินค้า
นักช้อปออนไลน์ในปัจจุบันคาดหวังว่าร้านค้าจะมีบริการจัดส่งฟรี เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย แนะนำให้คุณรวมต้นทุนค่าจัดส่งไว้ในราคาสินค้าเลย นอกจากนี้ การเสนอทางเลือกจัดส่งแบบด่วนยังช่วยเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย
การจัดส่งที่รับประกันโดย eBay
การจัดส่งที่รับประกันโดย eBay (EGD) คือโปรแกรมที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับของเร็วตามเวลาที่ระบุ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ขายที่เข้าร่วม
เพื่อให้รายการสินค้าของคุณมีสิทธิ์เข้าร่วมโปรแกรม EGD คุณต้องกำหนดเวลาเตรียมจัดส่งเป็นวันเดียวกันหรือภายในหนึ่งวัน eBay จะคำนวณวันจัดส่ง และให้การรับประกันกับลูกค้าว่าสินค้าจะมาถึงตรงเวลา งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ลูกค้ามักเลือกซื้อจากร้านที่สามารถจัดส่งภายใน 3 วันหรือน้อยกว่า
เงื่อนไขในการเข้าร่วมโปรแกรม EGD ได้แก่ ต้องมียอดขายอย่างน้อย 100 รายการต่อปี, มีอัตราการจัดส่งล่าช้าน้อยกว่า 5%, ต้องกรอกเวลาจัดส่งที่แม่นยำ และต้องอัปโหลดข้อมูลติดตามพัสดุให้ลูกค้า ซึ่งแม้จะมีข้อกำหนดเพิ่มขึ้น แต่ผลตอบแทนด้านการมองเห็นและยอดขายจาก EGD ก็คุ้มค่าอย่างมาก
โปรแกรมการจัดส่งทั่วโลก
โปรแกรมการจัดส่งทั่วโลกของ eBay (GSP) ของ eBay ช่วยให้คุณขายสินค้าสู่ตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
การขายบน eBay ที่ใช้ GSP ไม่ต้องจัดการเรื่องเอกสารหรือกระบวนการจัดส่งระหว่างประเทศด้วยตนเอง เมื่อมีลูกค้าต่างประเทศซื้อสินค้า ผู้ขายเพียงแค่ส่งพัสดุไปยังศูนย์กลางจัดส่งของ eBay ที่รัฐเคนทักกีในสหรัฐฯ หลังจากนั้น eBay จะดูแลขั้นตอนที่เหลือทั้งหมด รวมถึงเอกสารศุลกากรและการจัดส่งถึงมือผู้ซื้อ ซึ่งลูกค้าต่างชื่นชอบโปรแกรมนี้ เพราะไม่มีค่าจัดส่งแอบแฝง และสามารถติดตามสถานะสินค้าได้แบบ end-to-end
คุณสามารถเลือกเปิดใช้ GSP แบบรายการต่อรายการ หรือกำหนดไว้ในนโยบายการจัดส่งของคุณได้เลย เพื่อให้ลูกค้าทั่วโลกสามารถสั่งซื้อได้อย่างมั่นใจ
ตั้งค่านโยบายการคืนสินค้าและเปลี่ยนสินค้า
วิธีขายบน eBay การรับคืนสินค้าภายใน 30 วันถือเป็นมาตรฐานที่ eBay แนะนำ แม้คุณจะสามารถตั้งนโยบายที่ต่างออกไปได้ แต่การคืนสินค้าฟรีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ และส่งผลดีต่อยอดขายโดยรวม
ข้อมูลเหล่านี้จะแสดงต่อผู้ซื้ออย่างชัดเจนบนหน้า eBay ไม่มีข้อความเล็กหรือเงื่อนไขซ่อนเร้น ดังนั้น ควรตั้งนโยบายให้ชัดเจนและเป็นมิตรที่สุด เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน
6. เชื่อมต่อ eBay กับร้านค้า Shopify
หากต้องการซิงค์ Shopify เข้ากับ eBay ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการใช้ Shopify Marketplace Connect เครื่องมือนี้ถือเป็นวิธีที่เร็วและง่ายที่สุดในการขยายยอดขายของคุณไปยังมาร์เก็ตเพลสระดับโลก
Shopify Marketplace Connect ช่วยให้คุณจัดการออร์เดอร์และสินค้าคงคลังจากศูนย์กลางเดียว เพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ โดยมีฟีเจอร์อย่างการแก้ไขข้อมูลแบบกลุ่ม (bulk editing) และการแมปแอตทริบิวต์สินค้า ให้คุณสามารถนำเสนอสินค้าได้อย่างเหมาะสมตามแพลตฟอร์มนั้น ๆ และช่วยเพิ่มยอดขายในแต่ละช่องทาง
นอกจากนี้วิธีขายบน eBay ด้วย Shopify Marketplace Connect ยังให้คุณเชื่อมโยงแค็ตตาล็อกจากร้าน Shopify เข้ากับแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง Amazon, Walmart และ eBay ได้อย่างราบรื่น พร้อมซิงโครไนซ์รายการสินค้าโดยอัตโนมัติ
“ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ต้องการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีให้กับลูกค้า และ eBay ก็ช่วยให้เราทำแบบนั้นได้จริง ๆ” Carl Martens ผู้ร่วมก่อตั้ง Aventuron ร้านค้า Shopify ที่ขายจักรยาน อุปกรณ์ตั้งแคมป์ และอุปกรณ์เดินทางแบบ Overlanding
7. โปรโมทสินค้าให้มีคนเห็นมากขึ้น
Promoted Listings คือเครื่องมือที่ใช้งานง่ายสำหรับผู้ขายบน eBay ที่ต้องการให้สินค้าถูกมองเห็นมากขึ้น ช่วยให้สินค้าของคุณแสดงในตำแหน่งที่โดดเด่นในผลการค้นหา เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ซื้อและคลิกดูสินค้า ผู้ขายหลายรายระบุว่าการใช้ Promoted Listings ทำให้การมองเห็นเพิ่มขึ้นถึง 36% โดยสมาชิกที่สมัครใช้ eBay Store จะสามารถใช้บริการนี้ได้ทันที
ผู้ขายที่ใช้ Promoted Listings จะเสียค่าใช้จ่ายเฉพาะเมื่อขายสินค้าได้เท่านั้น และยังสามารถเข้าถึงเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อปรับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้วิธีขายบน eBay ยังมีฟีเจอร์ Seller Hub Promotions ที่ให้คุณสร้างข้อเสนอพิเศษเพื่อกระตุ้นยอดขายและระบายสต็อก เช่น
- ส่วนลดตามจำนวนคำสั่งซื้อ
- ซื้อ 1 แถม 1
- จัดกิจกรรมลดราคา
- ส่วนลดค่าจัดส่ง
- คูปองส่วนลดแบบไม่ต้องใส่โค้ด
ขายอะไรดีบน eBay ถึงเวลาหาสินค้าที่ใช่
วิธีขายบน eBay ก็คล้ายกับแพลตฟอร์ม Amazon คุณสามารถขายสินค้าได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่รองเท้าและเครื่องประดับ ไปจนถึงหมอนกลิ่นป๊อปคอร์น!
หมวดหมู่สินค้ายอดนิยมมีดังนี้
- ยานยนต์: อะไหล่ภายนอกและภายใน, อะไหล่มอเตอร์ไซค์, ระบบไฟ, ระบบเชื้อเพลิง, เครื่องยนต์, อุปกรณ์แต่งรถแข่ง ฯลฯ
- ธุรกิจและอุตสาหกรรม: อุปกรณ์ควบคุมอัตโนมัติ, เครื่องมือแพทย์, อุปกรณ์แล็บ, อุปกรณ์ทดสอบ
- เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ: เสื้อผ้าทั้งชายหญิง, กระเป๋าผู้หญิง, เครื่องสำอาง, นาฬิกา
- ของสะสม: ของทหารทั้งแบบโบราณและยุคใหม่, หินแร่, มีดสะสม, ฟิกเกอร์
- คอมพิวเตอร์ / แท็บเล็ต / เน็ตเวิร์ก: แล็ปท็อป, หมึกพิมพ์, อุปกรณ์เกม, การ์ดจอ
- สุขภาพและความงาม: น้ำหอม, วิตามิน, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
- บ้านและสวน: เตาผิง, อุปกรณ์พลังงานทางเลือก, เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
- เครื่องประดับและนาฬิกา: นาฬิกา เครื่องมือซ่อมนาฬิกา เพชร และอัญมณีเม็ดเดี่ยว
eBay เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อสินค้ามาขายต่อ (reseller) คุณจะพบทั้งผู้ขายทั่วไปและผู้ขายมืออาชีพที่บริหารจัดการทุกอย่างตั้งแต่การประมูล การซื้อสินค้า การแพ็กของ ไปจนถึงการจัดส่ง
นอกจากนี้ eBay ยังสามารถใช้เป็นช่องทางดรอปชิปปิ้ง ได้ด้วย หมายถึงการที่คุณไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง เมื่อมีออเดอร์ คุณจะสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ที่จัดส่งโดยตรงให้ลูกค้าในนามของคุณ
ค่าธรรมเนียม eBay มีอะไรบ้าง?
ค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ขายบน eBay นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา โดยมีค่าธรรมเนียมหลัก 2 ประเภทที่คุณต้องรู้
- ค่าธรรมเนียมการลงขายสินค้า (Insertion Fee) คุณจะเสียค่าธรรมเนียมนี้เมื่อทำการลงประกาศสินค้าในระบบของ eBay โดยทั่วไปแล้วจะฟรีสำหรับผู้ขายทั่วไปที่ลงรายการไม่เกิน 250 รายการต่อเดือน
- ค่าธรรมเนียมการขาย (Final Value Fee) หากสินค้าของคุณขายได้ eBay จะคิดค่าธรรมเนียมเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคาขาย ซึ่งอยู่ระหว่าง 3% ถึง 15% ขึ้นอยู่กับหมวดหมู่ของสินค้า นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมคงที่ ประมาณ 30 เซ็นต์สหรัฐ (ราว 11 บาท) ต่อออเดอร์
ค่าธรรมเนียมจะถูกคำนวณจากยอดขายทั้งหมดของสินค้า ซึ่งรวมถึง
- ราคาสินค้า
- ค่าจัดส่ง
- ภาษีการขาย
- ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ภาพประกอบโดย Pete Ryan
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีขายบน eBay
มือใหม่จะเริ่มขายของบน eBay ได้อย่างไร?
- ตัดสินใจก่อนว่าคุณเหมาะกับการขายบน eBay หรือไม่
- สมัครบัญชีผู้ขาย eBay
- เชื่อมต่อบัญชี eBay กับร้านค้า Shopify
- ลงรายการสินค้าใน eBay
- เริ่มขายและจัดการออเดอร์
ขายของบน eBay ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
eBay มีค่าธรรมเนียมหลัก 2 ประเภท ได้แก่
- ค่าลงประกาศสินค้า: ฟรีหากลงไม่เกิน 250 รายการต่อเดือน
- ค่าธรรมเนียมเมื่อขายได้: ประมาณ 3%–15% ของยอดขาย + ค่าธรรมเนียมคงที่ราว 11 บาทต่อออเดอร์
ขายของบน eBay คุ้มหรือไม่?
ข้อดีมีหลายอย่าง เช่น
- ผู้ซื้อออนไลน์ไว้วางใจ eBay
- สามารถขายแบบประมูลหรือราคาตายตัวได้
- สินค้าของคุณมีโอกาสติดบน Google
- มีผู้ใช้งานกว่า 158 ล้านคนบน eBay
- มีตัวเลือกช่วยเหลือด้านการจัดส่งสินค้า
จะขายของบน eBay แบบไม่เสียเงินได้มั้ย?
สามารถทำได้ หากคุณลงประกาศไม่เกิน 250 รายการต่อเดือน ซึ่งไม่มีค่าลงประกาศ อย่างไรก็ตาม เมื่อขายสินค้าได้ eBay จะคิดค่าธรรมเนียมตามหมวดหมู่สินค้า โดยเฉลี่ยประมาณ 3%–15% ของราคาขาย รวมค่าธรรมเนียมคงที่ต่อคำสั่งซื้อ