ไม่ว่าลูกค้าจะสั่งซื้อจากที่ไหน ทุกคนต่างต้องการบริการจัดส่งที่เชื่อถือได้ รวดเร็ว และค่าส่งไม่แพงเกินไป แต่ในมุมของเจ้าของร้าน การทำให้ทุกคำสั่งซื้อถูกจัดการอย่างราบรื่นอาจเป็นเรื่องชวนปวดหัว
ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า แพ็คออร์เดอร์ เลือกผู้ให้บริการ ไปจนถึงการตั้งค่ารูปแบบการขนส่ง ทุกขั้นตอนล้วนต้องอาศัยการวางแผนและบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบ
โชคดีที่ Shopify ได้ออกแบบระบบการจัดส่ง Shopify มาเพื่อช่วยให้ร้านค้าออนไลน์จัดการทุกอย่างได้ในที่เดียว ลดภาระ ลดต้นทุน และเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า
การจัดส่ง Shopify คืออะไร?
การจัดส่ง Shopify คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้ร้านค้าจัดส่งสินค้าได้ง่าย รวดเร็ว และประหยัดมากยิ่งขึ้น ด้วยเรทราคาส่วนลดจากผู้ให้บริการขนส่งรายใหญ่ รวมถึงเครื่องมือจัดการขนส่งที่ฝังอยู่ในระบบ Shopify โดยตรง
ผู้ขายสามารถประหยัดค่าส่งได้สูงสุดถึง 88% ผ่านผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น USPS, UPS และ DHL (ในสหรัฐฯ), Canada Post (ในแคนาดา) และ Sendle (ในออสเตรเลีย)
หากร้านของคุณมีฐานลูกค้าในประเทศอื่น ๆ ก็สามารถใช้พันธมิตรอย่าง DPD (สหราชอาณาจักร), Poste Italiane (อิตาลี), Colissimo (ฝรั่งเศส), หรือ Correos (สเปน) ได้เช่นกัน
ทุกแพ็กเกจ Shopify จะมาพร้อมฟีเจอร์จัดส่งที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น
- การจัดส่งด่วนข้ามคืน
- การจัดส่งระหว่างประเทศ
- ประกันพัสดุ
- ระบบติดตามสถานะการจัดส่ง
- ตรวจสอบที่อยู่แบบอัตโนมัติ
- ใบแพ็คสินค้าที่ตั้งค่าได้เอง
- และอีเมลแจ้งสถานะถึงลูกค้า
ผู้ขายยังสามารถตั้งค่าการจัดส่งแบบฟรี, อัตราคงที่, หรือแบบ คำนวณตามเรทจริงของผู้ให้บริการ ได้ในหน้าชำระเงิน และยังมีระบบแนะนำบริการขนส่งที่เหมาะสม พร้อมการจัดเส้นทางออร์เดอร์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ
7 ฟีเจอร์เด่นการจัดส่ง Shopify ที่ร้านค้าออนไลน์ไม่ควรพลาด
การจัดส่ง Shopify ไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบคำนวณค่าส่ง แต่คือเครื่องมือที่จะช่วยให้ร้านค้าของคุณบริหารจัดการการจัดส่งได้ครบวงจร ตั้งแต่รับออร์เดอร์จนถึงมือลูกค้า ลองมาดูฟีเจอร์ที่ทำให้ Shopify กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
1. เลือกผู้ให้บริการขนส่งได้หลายราย
คุณสามารถเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น USPS, UPS, DHL Express และ Canada Post เพื่อให้เหมาะกับปลายทางของลูกค้าและความเร็วในการจัดส่งที่คุณต้องการ
2. ประหยัดต้นทุนด้วยราคาส่วนลด
การจัดส่ง Shopify มาพร้อมส่วนลดพิเศษจากการเจรจาล่วงหน้ากับผู้ให้บริการขนส่ง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าจัดส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ต้องมีปริมาณการส่งระดับองค์กรใหญ่
3. พิมพ์ใบจัดส่งได้ง่าย
คุณสามารถพิมพ์ใบจัดส่งสินค้า (shipping labels) และใบแพ็คของได้ทันทีจากแดชบอร์ด Shopify รองรับทั้งการพิมพ์แบบรายชิ้นหรือพิมพ์หลายรายการพร้อมกัน ช่วยให้การจัดส่งเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายในทุกวัน
4. จัดส่งจากที่เก็บสินค้าที่ใกล้ที่สุด
หากคุณมีคลังสินค้าหลายแห่ง การจัดส่ง Shopify สามารถตั้งกฎเพื่อจัดเส้นทางออร์เดอร์อัตโนมัติจากที่เก็บสินค้าที่ใกล้ลูกค้ามากที่สุด ช่วยลดเวลาการจัดส่งและต้นทุนค่าส่งได้อีกทาง
5. ระบบติดตามพัสดุพร้อมประกันสินค้า
ลูกค้าสามารถติดตามพัสดุได้แบบเรียลไทม์ พร้อมความคุ้มครองสูงสุดถึง 7,000 บาทต่อการจัดส่งหนึ่งครั้ง สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกครั้งที่สั่งซื้อ
6. จัดส่งระหว่างประเทศได้อย่างมืออาชีพ
ฟีเจอร์จัดส่งระหว่างประเทศของ Shopify รองรับการคำนวณภาษีนำเข้าและข้อกำหนดด้านศุลกากรโดยอัตโนมัติ ทำให้การขายข้ามประเทศกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับร้านค้าทุกขนาด
7. มีบริการรับสินค้าด้วยตนเอง (Local Pickup)
สำหรับร้านค้าที่มีหน้าร้านหรือให้บริการในพื้นที่ การจัดส่ง Shopify ยังเปิดให้ตั้งค่ารับสินค้าหน้าร้านหรือจัดส่งในพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างสะดวก ประหยัดทั้งต้นทุนและเวลา
วิธีเริ่มใช้ระบบการจัดส่ง Shopify
เมื่อคุณตัดสินใจวางกลยุทธ์ด้านการจัดส่งเรียบร้อยแล้ว การตั้งค่าระบบการจัดส่ง Shopify ก็ทำได้ง่ายในไม่กี่ขั้นตอน เพียงทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้เพื่อเตรียมร้านของคุณให้พร้อมจัดส่งคำสั่งซื้อได้ทันที
1. กรอกข้อมูลสินค้าและรายละเอียดกล่องพัสดุ
ระบบการจัดส่ง Shopify จะคำนวณค่าส่งจากน้ำหนักรวมของตะกร้าสินค้า ขนาดกล่อง และผู้ให้บริการขนส่ง
ดังนั้นคุณควรกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนในหน้ารายละเอียดสินค้า เช่น ขนาด น้ำหนัก และที่เก็บสินค้า เพื่อให้ระบบคำนวณค่าส่งได้อย่างแม่นยำ
2. ตั้งค่าราคาค่าจัดส่งและบริการที่ต้องการ
ไปที่แถบ “การจัดส่งสินค้า” (Shipping and delivery) ในเมนู “การตั้งค่า” ของแดชบอร์ด Shopify
จากนั้นเลือกบริการจัดส่งที่คุณต้องการเปิดให้ลูกค้าใช้งาน
คุณสามารถเลือกผู้ให้บริการในพื้นที่ของคุณ เพื่อแสดงราคาค่าส่งแบบเรียลไทม์ หรือจะตั้งราคาคงที่ (Flat Rate) ก็ได้
อีกทางเลือกหนึ่งคือการเสนอการจัดส่งฟรี สำหรับยอดซื้อที่เข้าเงื่อนไข หรือให้ใส่รหัสส่วนลด
3. พิมพ์และติดป้ายจัดส่ง
เมื่อมีออร์เดอร์เข้ามา Shopify จะสร้างใบจัดส่งให้โดยอัตโนมัติ โดยอิงจากข้อมูลออร์เดอร์ ข้อมูลลูกค้า และตัวเลือกการขนส่งที่ลูกค้าเลือกตอนชำระเงิน คุณสามารถพิมพ์ใบจัดส่งได้ทั้งแบบรายชิ้นหรือแบบหลายรายการจากแท็บ “ออร์เดอร์” บนแดชบอร์ด โดยใช้เครื่องพิมพ์ทั่วไปหรือเครื่องพิมพ์ฉลากเฉพาะทาง
จากนั้นให้แพ็คสินค้าให้ตรงตามขนาดและน้ำหนักที่ระบบกำหนด แล้วติดฉลากให้เรียบร้อย
4. นำพัสดุไปส่งให้ผู้ให้บริการ
เมื่อติดฉลากเสร็จแล้ว คุณสามารถนำพัสดุไปวางที่ตู้ไปรษณีย์ ที่ทำการไปรษณีย์ หรือจุดรับสินค้าของผู้ให้บริการ
หากคุณใช้บริการของ UPS หรือ DHL Express ที่รองรับ Shopify Shipping ยังสามารถนัดหมายให้มารับพัสดุถึงหน้าร้านผ่านแอดมินของ Shopify ได้อีกด้วย
ข้อดีของการใช้ระบบการจัดส่ง Shopify
ลดต้นทุนในการดำเนินงาน
เข้าถึงส่วนลดค่าจัดส่งจากผู้ให้บริการขนส่งชั้นนำ ในราคาที่มักสงวนไว้สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่ประหยัด แต่ช่วยให้คุณใช้งบขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนต่อชิ้น และนำเงินที่ประหยัดได้กลับไปลงทุนในด้านอื่นของธุรกิจ
ตัวอย่าง: ร้านค้าขนาดเล็กสามารถประหยัดค่าส่งได้สูงสุดถึง 88% เมื่อใช้บริการ USPS ผ่านระบบการจัดส่ง Shopify เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันกับร้านรายใหญ่ได้ทันที
จัดการทุกอย่างได้ในที่เดียว
การจัดส่ง Shopify รวมทุกขั้นตอนของการขนส่งไว้ในแดชบอร์ดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการจัดการคำสั่งซื้อ การพิมพ์ฉลากจัดส่ง หรือการติดตามพัสดุ ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้กับงานหลังบ้าน ลดข้อผิดพลาด และเปิดโอกาสให้คุณโฟกัสกับงานสำคัญ เช่น การตลาดหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างเช่น ฟีเจอร์การพิมพ์ฉลากแบบเป็นชุด (Batch) ช่วยประหยัดเวลาอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือแคมเปญใหญ่ เช่น Black Friday
ขยายฐานลูกค้าไปทั่วโลก
หากคุณมีเป้าหมายในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ระบบการจัดส่ง Shopify ช่วยให้คุณจัดการกับความซับซ้อนของการขนส่งระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่การคำนวณภาษีศุลกากรไปจนถึงข้อกำหนดการนำเข้าในแต่ละประเทศ คุณจึงสามารถให้บริการลูกค้าใหม่จากต่างประเทศได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องโลจิสติกส์
การจัดส่งโดยบุคคลที่สาม เชื่อมต่อกับ Shopify Fulfillment Network
เมื่อร้านค้าของคุณเติบโตและมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น การเก็บสต็อกและแพ็คออร์เดอร์ด้วยตนเองอาจกลายเป็นเรื่องที่กินเวลาและทรัพยากร หากคุณเข้าสู่จุดนั้น การใช้บริการจัดส่งโดยบุคคลที่สาม (Third-party fulfillment หรือ 3PL) อาจเป็นคำตอบที่เหมาะที่สุด
บริษัท Fulfillment แบบ 3PL จะช่วยคุณบริหารสต็อก แพ็คคำสั่งซื้อ และประสานงานกับผู้ให้บริการขนส่ง โดยทั่วไป บริษัทเหล่านี้จะมีศูนย์กระจายสินค้าที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ช่วยให้การจัดส่งเร็วขึ้น และลดเวลารอของลูกค้า
การเลือกผู้ให้บริการขนส่งและบริการ
ผู้ให้บริการขนส่ง (Shipping Carrier) คือบริษัทที่รับพัสดุจากคุณและนำไปส่งถึงมือลูกค้า โดยแต่ละเจ้าจะมีบริการจัดส่งให้เลือกหลายรูปแบบ เพื่อให้คุณเลือกรูปแบบที่เหมาะกับงบประมาณและความต้องการของร้าน
ก่อนเลือกผู้ให้บริการขนส่ง ลองพิจารณาคำถามต่อไปนี้:
- คุณจะจัดส่งสินค้าไปที่ใด
- สินค้าจะถูกส่งจากจุดใด
- ประเภทสินค้าที่คุณจัดส่งคืออะไร
- สินค้ามีน้ำหนักเท่าไร
- คุณจะใช้บรรจุภัณฑ์แบบไหน
- คุณต้องการจัดส่งฟรีหรือแบบอัตราคงที่หรือไม่
- ลูกค้าของคุณคาดหวังอะไรจากนโยบายจัดส่ง
- คุณต้องประสานงานกับบริษัท Fulfillment ภายนอกหรือไม่
แม้ว่าคุณสามารถเลือกส่งพัสดุกับบริษัทใดก็ได้ แต่การจัดส่ง Shopify ได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการชั้นนำเพื่อให้ขั้นตอนการจัดส่งเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้ USPS, UPS หรือ DHL Express ในสหรัฐฯ, Canada Post ในแคนาดา หรือ Sendle ในออสเตรเลียผ่านระบบการจัดส่ง Shopify คุณสามารถชำระค่าจัดส่งและพิมพ์ฉลากได้โดยตรงผ่านระบบ Shopify
ส่งครบ จบจริง ทุกสิ่งที่ต้องการอยู่ในระบบการจัดส่ง Shopify
การจัดส่ง Shopify ถูกออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในทุกขั้นตอนของการจัดส่งสินค้า คุณสามารถลดต้นทุนการจัดส่ง พร้อมส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างมั่นใจ ด้วยเครื่องมือที่ใช้งานง่าย และเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของคุณ คุณจึงสามารถโฟกัสไปที่การขยายร้านค้า สร้างแบรนด์ และเพิ่มยอดขาย โดยที่ลูกค้าได้รับบริการจัดส่งตามที่คาดหวัง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจัดส่ง Shopify
ระบบจัดส่งใน Shopify ใช้ยังไง?
ผู้ขายที่ใช้ Shopify สามารถเข้าถึงส่วนลดค่าจัดส่งจากผู้ให้บริการขนส่งชั้นนำ พร้อมเครื่องมือจัดการจัดส่งที่ฝังอยู่ในระบบ Shopify เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อ ระบบจะสร้างใบจัดส่งโดยอัตโนมัติจากข้อมูลออร์เดอร์และตัวเลือกการขนส่งที่ลูกค้าเลือกไว้ ผู้ขายสามารถตั้งค่ารูปแบบการจัดส่งได้หลากหลาย เช่น จัดส่งฟรี อัตราคงที่ หรือคำนวณตามเรทของผู้ให้บริการในแต่ละพื้นที่
การจัดส่ง Shopify มีค่าใช้จ่ายเท่าไร
ระบบการจัดส่ง Shopify มีให้ใช้งานฟรีในทุกแพ็กเกจ Shopify แต่ต้นทุนการจัดส่งแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับน้ำหนัก ขนาดพัสดุ ปลายทาง และผู้ให้บริการขนส่งที่เลือก Shopify ให้ส่วนลดพิเศษกับผู้ให้บริการขนส่งหลายราย ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับราคาจัดส่งทั่วไป คุณสามารถคำนวณต้นทุนจัดส่งล่วงหน้าได้โดยใช้เครื่องมือคำนวณในระบบ Shopify
ใครเป็นคนจ่ายค่าจัดส่ง ร้านค้าหรือผู้ซื้อ?
โดยทั่วไป ผู้ซื้อจะเป็นผู้ชำระค่าจัดส่ง ยกเว้นกรณีที่ร้านค้าตั้งโปรโมชันจัดส่งฟรี หรือรวมค่าจัดส่งไว้ในราคาสินค้าแล้ว
ในระบบ Shopify คุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้ลูกค้าเห็นค่าส่งแยก หรือรวมค่าส่งไว้แบบแนบเนียน และยังสามารถตั้งค่าสำหรับโปรโมชั่นหรือส่วนลดการจัดส่งได้ง่ายๆ ผ่านแดชบอร์ด
ใช้ระบบจัดส่ง Shopify แล้วประหยัดกว่าจริงมั้ย?
ประหยัดกว่าจริง เพราะผู้ขายสามารถประหยัดค่าจัดส่งได้จริงเมื่อใช้การจัดส่ง Shopify เพราะระบบนี้มีการเจรจาส่วนลดกับผู้ให้บริการขนส่งชั้นนำล่วงหน้า ส่วนลดอาจสูงถึง 88% ช่วยให้ร้านค้าขนาดเล็กสามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับร้านขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขายที่ต้องการควบคุมต้นทุนการจัดส่งในขณะที่ยังมอบบริการคุณภาพให้ลูกค้า