การเปิดตัวสินค้าใหม่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับไอเดียที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ถ้าไม่มีการวิจัยสินค้าอย่างเหมาะสม ลูกค้าเป้าหมายอาจไม่ไว้ใจและไม่สนใจคุณตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยก็ได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมการวิจัยสินค้าจึงสำคัญ เพราะการวิจัยสินค้าเป็นการยืนยันว่าไอเดียสินค้าของคุณนั้นดีและการันตีว่ามีความต้องการที่แท้จริงในตลาดเฉพาะกลุ่มของคุณ ถึงแม้การวิจัยสินค้าจะต้องอาศัยเวลาและความพยายาม แต่การวิจัยสินค้าก็สำคัญต่อความสำเร็จในอนาคตของธุรกิจของคุณ
คู่มือนี้จะแสดงให้คุณเห็นวิธีการวิจัยสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และค้นหาสินค้าที่ดีที่สุดเพื่อมาขาย
การวิจัยสินค้าคืออะไร?
การวิจัยสินค้าช่วยให้คุณประเมินว่าไอเดียสินค้าของคุณจะประสบความสำเร็จในตลาดได้หรือไม่ กระบวนการนี้เป็นเรื่องของการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า แนวโน้มตลาด และการแข่งขัน เพื่อเป็นการการันตีว่าสินค้าของคุณตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้
การวิจัยสินค้าที่ดีจะช่วยให้คุณ
- ค้นพบและแก้ไข Pain Point ของลูกค้า
- ตรวจสอบความต้องการสินค้าของคุณในตลาด
- มองเห็นช่องว่างที่คู่แข่งของคุณไม่สามารถเติมเต็มได้
- ได้คำติชมเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติและบรรจุภัณฑ์สินค้า
- ตั้งราคาให้แข่งขันได้และมีกำไร
- มีสินค้าที่โดดเด่นกว่าสินค้าที่คล้ายกันในตลาด
- มั่นใจว่าสินค้าของคุณยังคงตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
- ใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการพัฒนาสินค้าและการตลาดของคุณ
การวิจัยสินค้าอยู่เสมอช่วยให้คุณก้าวนำการเปลี่ยนแปลงในตลาด ทำสินค้าที่ลูกค้าต้องการ และสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนได้
วิธีการวิจัยสินค้า
การวิจัยสินค้าจะเน้นไปที่สองด้านหลักคือ 1. เกณฑ์ที่อิงจากตลาด และ 2. เกณฑ์ที่อิงจากสินค้า เราจะมาดูปัจจัยทางการตลาดกันก่อน
เกณฑ์ที่อิงจากตลาด
การวิจัยตลาดช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งต่อไปนี้
- ขนาดตลาดที่เป็นไปได้
- คู่แข่ง
- ลูกค้าเป้าหมาย
- ลูกค้าสามารถหาสินค้าของคุณได้ง่ายแค่ไหนในพื้นที่ใกล้เคียง
- หมวดหมู่สินค้าของคุณกำลังเติบโตหรือมีเสถียรภาพ
ขนาดตลาด: ขนาดของตลาดแสดงให้เห็นว่ามีลูกค้าที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าของคุณมากน้อยเพียงใด ถึงแม้ตลาดขนาดใหญ่จะมีโอกาสมากกว่า แต่ตลาดเฉพาะกลุ่มขนาดเล็กก็อาจเข้าถึงได้ง่ายกว่าและมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
ลองดู Daneson เป็นตัวอย่าง แทนที่จะแข่งขันในตลาดสุขภาพและสุขอนามัยที่กว้างขวาง พวกเขาสร้างช่องทางเฉพาะกลุ่มโดยการขายไม้จิ้มฟันสุดหรู

สำหรับการประเมินขนาดตลาดของคุณ ให้ดูที่สิ่งต่อไปนี้:
- ข้อมูลสาธารณะจากสำนักงานพัฒนาเมือง
- รายงานการวิจัยอุตสาหกรรม
- เครื่องมือดิจิทัลอย่าง Google Trends และ Meta’s Ad Manager
- การสำรวจลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย

Google Trends แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่แน่นอนในไม้จิ้มฟันในฐานะของสินค้า
สถานการณ์ของการแข่งขัน: การเข้าใจคู่แข่งของคุณจะช่วยให้คุณค้นพบโอกาสในตลาดได้ โดยคุณอาจ:
- เป็นเจ้าแรกที่นำเสนอสินค้าใหม่
- เข้าสู่ตลาดที่มีคู่แข่งไม่กี่ราย
- เข้าร่วมตลาดที่มีการแข่งขันสูง
การเป็นคนแรกหมายความว่าคุณจะต้องมีการวิจัยตลาดที่มีประสิทธิภาพเพื่อพิสูจน์ความต้องการในตลาด ตลาดที่มีการแข่งขันสูงแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่มีผู้พิสูจน์แล้ว แต่ต้องการให้คุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
ใช้เครื่องมืออย่าง Google Search และ Similarweb เพื่อค้นหาคู่แข่งที่มีอยู่ เครื่องมือ SEO อย่าง Ahrefs แสดงให้คุณเห็นว่ามีคนค้นหาสินค้าที่คล้ายกับของคุณมากน้อยเพียงใดในแต่ละเดือน
Shane Pollard ผู้เป็น CTO ที่ Be Media กล่าวว่า “การวิจัยคีย์เวิร์ดด้วยเครื่องมืออย่าง Ahrefs หรือ Semrush ช่วยให้ได้มุมมองเกี่ยวกับความต้องการในการค้นหาที่เป็นจริง และยังช่วยในการทำแผนที่โอกาส โดยหากมีความยากมาก ผมสามารถมองหาผลลัพธ์แบบ Long-Tail ได้ โดยวิธีการ Long-Tail เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าสู่ตลาดใหม่”
แนวโน้มหมวดหมู่สินค้า:
- กระแสแฟชั่น: ความนิยมชั่วครู่ที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว ลองนึกถึง Geiger Counter ที่มีความต้องการสูงหลังจากแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 แต่กลับมียอดขายต่ำลงอย่างรวดเร็ว
- เทรนด์: การเติบโตที่ยั่งยืนยาวนานขึ้น แต่ในที่สุดก็อาจชะลอตัวลง อาหารปลอดกลูเตนคือตัวอย่างที่ตรงกับรูปแบบนี้ คืออาจเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็อาจทรงตัวเมื่อตลาดเติบโตเต็มที่
- เสถียร: ความต้องการที่สม่ำเสมอตลอดระยะเวลา มีช่วงขึ้น ๆ ลง ๆ เพียงเล็กน้อย อ่างล้างจานเป็นตัวอย่างที่ดีเพราะนี่คือสิ่งที่จำเป็นตลอดกาล แต่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ในตลาดเลย
- เติบโต: การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่ยั่งยืน สินค้าโยคะคือตัวอย่างของรูปแบบนี้ เนื่องจากโยคะได้พัฒนาจากกิจกรรมเฉพาะกลุ่มไปสู่ทางเลือกการออกกำลังกายยอดนิยม

หมวดหมู่สินค้าที่แตกต่างกันและวิธีการพัฒนาตลอดเวลา
ใช้ Google Trends เพื่อตรวจสอบว่าความสนใจในสินค้าของคุณกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งอาจบ่งชี้ถึงกระแสที่กำลังผ่านพ้นไป
ความพร้อมขายของสินค้าในท้องถิ่น: สินค้าที่หายากในท้องถิ่นมักจะขายดีในออนไลน์ ตัวอย่างเช่น Ellusionist ขายสำรับไพ่แบบพิเศษสำหรับนักมายากลที่คุณไม่สามารถหาซื้อได้ในร้านค้าในท้องถิ่น

เพื่อดูความพร้อมขายในท้องถิ่น ให้ค้นหาจาก Google โดยใช้ “[สินค้าของคุณ] + [ชื่อเมือง]” ในเมืองใหญ่ใกล้คุณ
ลูกค้าเป้าหมาย: ถึงแม้การระบุตัวตนลูกค้าโดยละเอียดจะไม่ใช่ข้อกำหนดสำหรับการวิจัยตลาด แต่คุณควรพิจารณาคุณลักษณะพื้นฐานของลูกค้าเป้าหมายของคุณ เช่น พวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อของทางออนไลน์หรือในร้านค้าปลีกมากกว่ากัน
- วัยรุ่นอาจไม่มีบัตรเครดิตเพื่อซื้อของออนไลน์
- ลูกค้าที่มีอายุมากอาจชอบการซื้อจากหน้าร้าน
- บางสถานที่อาจมีพฤติกรรมการชอปปิงที่เฉพาะเจาะจง
Pollard แนะนำให้ใช้ Google Analytics เพื่อเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายของคุณ:
- รายงานข้อมูลประชากรที่แสดงอายุและเพศ
- ข้อมูลภูมิศาสตร์เปิดเผยความแตกต่างในภูมิภาค
- หน้ายอดนิยมแสดงให้เห็นว่าสินค้าใดดึงดูดความสนใจมากที่สุด
เกณฑ์ที่อิงจากสินค้า
เมื่อประเมินสินค้า ให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น การตั้งราคา ฤดูกาล และความสามารถในการขยายตลาด โดยนี่คือปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา:
- กำไรจากสินค้า
- กลยุทธ์การตั้งราคา
- ขนาดและน้ำหนัก
- ความทนทานของสินค้า
- ฤดูกาล
- Pain Point ของสินค้า
- การหมุนเวียนสินค้า
- ประเภทสินค้า
- ความเน่าเสียของสินค้า
- ข้อจำกัดและกฎระเบียบของสินค้า
- ความสามารถในการขยายตลาดของสินค้า
กำไรจากสินค้า: กำไรขั้นต้นที่ดีช่วยให้คุณมีที่ว่างเพื่อรับมือกับต้นทุนที่ไม่คาดคิด ลองดูตัวอย่างจริงจากเครื่องนับก้าวสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ขายในราคา 24.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 815 บาท) และมีราคาซื้อเพียง 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 70 บาท) บน Alibaba
กำไร 1,200% อาจดูน่าพอใจในตอนแรก แต่ค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยต่อไปนี้ก็อาจส่งผลต่ออัตรากำไรของคุณได้:
- ต้นทุนบรรจุภัณฑ์และค่าดำเนินการ
- ค่าธรรมเนียมการจัดส่ง
- ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการโฆษณา
- ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม
- ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน

ตารางนี้แสดงให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมเล็กน้อยทำให้กำไรที่แท้จริงของคุณลดลงได้อย่างไร
หลังจากหักต้นทุนเหล่านี้แล้ว กำไรขั้นต้น 1,200% อาจลดลงเหลือต่ำกว่า 100% ถึงแม้คุณจะลดต้นทุนบางส่วนได้ด้วยการบริหารจัดการด้านการจัดการสินค้าด้วยตนเองหรือเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา แต่การรู้ต้นทุนเหล่านี้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าสินค้านั้นคุ้มค่าที่จะลงทุนหรือไม่
กลยุทธ์การตั้งราคา: จุดราคาสินค้าของคุณส่งผลต่อทุกอย่างตั้งแต่กำไรไปจนถึงความต้องการบริการลูกค้า:
- สินค้าราคาถูก (ไม่เกิน 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 815 บาท) ต้องขายให้ได้ในประมาณมากและมักต้องบริการลูกค้ามากขึ้น
- สินค้าราคาสูง (150 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,880 บาทขึ้นไป) มีวงจรการขายที่ยาวนานกว่าและลูกค้ามีความต้องการสูงกว่า
- จุดที่เหมาะสม: 75 ถึง 150 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,440 ถึง 4,880 บาท มีอัตรากำไรที่ดีในขณะที่รักษารอบการขายให้สามารถบริหารจัดการได้
เราจะลองเปรียบเทียบสองสถานการณ์:
- เครื่องวัดการเดินของสัตว์เลี้ยงราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 815 บาท มีกำไร 12.95 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 425 บาท (อัตรากำไร 42%) หลังจากหักค่าใช้จ่าย
- สินค้าที่คล้ายกันในราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,255 บาท มีกำไร 76.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,495 บาท (อัตรากำไร 73%) หลังจากหักค่าใช้จ่าย

ตารางค่าธรรมเนียมการตั้งราคานี้แสดงให้เห็นว่าการตั้งราคาที่สูงขึ้นสามารถทำให้ได้กำไรสูงขึ้นได้อย่างไร
เนื่องจากราคาที่สูงขึ้น สินค้าตัวที่สองจึงรักษาอัตรากำไรที่ดีกว่าได้ที่ 73% เมื่อเทียบกับ 42% และกำไรต่อหน่วยเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 12.95 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 425 บาท เป็น 76.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,495 บาทได้
ขนาดและน้ำหนัก: ขนาดและน้ำหนักของสินค้าส่งผลต่อกำไรของคุณอย่างมาก ปัจจุบันลูกค้าจำนวนมากอยากได้การจัดส่งฟรี และการรวมค่าจัดส่งไว้ในราคาสินค้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ผลเสมอไป ต้นทุนเหล่านี้มักจะส่งผลกระทบต่อกำไรของคุณ และหากคุณโยนภาระค่าจัดส่งให้กับลูกค้า ค่าธรรมเนียมที่สูงอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการเปลี่ยนผู้สนใจให้เป็นลูกค้าของคุณได้
หากคุณไม่ดรอปชิป ให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วย:
- ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าจากผู้ผลิต
- ค่าธรรมเนียมการจัดเก็บในคลังสินค้า
- ค่าใช้จ่ายในการขนส่งระหว่างประเทศ
ตัวอย่างเช่น บริษัทขายเสื่อโยคะที่มีชื่อเสียงขายเสื่อออกกำลังกายผืนใหญ่ในราคา 99 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,220 บาท) แต่มีค่าขนส่งไปยังแคนาดาที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,305 บาท) และค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,255 บาท) ทำให้ต้นทุนรวมสูงขึ้น 40% ถึง 100% สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่
ความทนทานของสินค้า: สินค้าของคุณมีความทนทานแค่ไหน? โดยสินค้าที่เสียหายง่ายอาจทำให้เกิดปัญหาต่อไปนี้:
- ค่าใช้จ่ายในการบรรจุที่สูงขึ้น
- ค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่เพิ่มขึ้น
- การคืนสินค้าและการแลกเปลี่ยนที่มากขึ้น
- ความจำเป็นในการจัดการเป็นพิเศษ
ฤดูกาล: ธุรกิจที่มีความต้องการตามฤดูกาลมักจะเผชิญกับกระแสเงินสดที่ไม่สม่ำเสมอ แม้ว่าความต้องการตามฤดูกาลบางอย่างเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่สินค้าที่ดีที่สุดจะรักษายอดขายที่ค่อนข้างสม่ำเสมอได้ตลอดทั้งปี
หากคุณเลือกสินค้าตามฤดูกาล ควรพิจารณาใช้กลยุทธ์เพื่อเอารับมือกับช่วงเวลาที่ยอดขายชะลอตัว:
- การตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ในช่วงนอกฤดูกาล
- กระจายสินค้าของคุณ
- วางแผนคลังสินค้าอย่างรอบคอบ
ใช้ Google Trends เพื่อดูรูปแบบตามฤดูกาล ตัวอย่างเช่น การค้นหา “ตะกร้าปิคนิค” ในสหรัฐอเมริกาจะพุ่งสูงขึ้นทุกฤดูร้อนและลดลงในเดือนที่อากาศหนาวเย็น แต่คุณสามารถปรับสมดุลนี้ได้โดยการมุ่งเป้าไปที่ประเทศในซีกโลกใต้ในช่วงฤดูหนาวของสหรัฐอเมริกา

Google Trends แสดงให้เห็นถึงการค้นหาตะกร้าปิคนิคที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
Pain Point ของสินค้า: การขายสินค้าที่ตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาได้จริงจะทำให้คุณได้เปรียบ สินค้าเหล่านี้มักจะมีต้นทุนทางการตลาดที่ต่ำกว่า เนื่องจากลูกค้าแสวงหาวิธีแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แทนที่จะต้องโน้มน้าวใจด้วยการตลาดที่เข้มข้น
ลองดู Decem เป็นตัวอย่าง ร้านนี้ขายจินแอลกอฮอล์ต่ำให้กับผู้ที่ชื่นชอบจินโทนิคแต่อยากลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ลง โดยเน้นที่ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

การหมุนเวียนสินค้า: สินค้าที่ต้องอัปเดตหรือเปลี่ยนบ่อย ๆ มีความเสี่ยงสูง คุณอาจขายไม่หมดก่อนที่สินค้าจะหมดสต็อก ดังนั้นก่อนเลือกสินค้าเหล่านี้ ควรวางแผนตารางการหมุนเวียนสินค้าอย่างรอบคอบ
ลองดูกรณีของเคสสมาร์ทโฟนที่ถึงจะเป็นตลาดที่ได้รับความนิยม แต่การออกแบบเคสใหม่ ๆ จำเป็นต้องมีการลงทุนล่วงหน้าจำนวนมาก ทั้งในด้านการออกแบบ การสร้างต้นแบบ และการสั่งซื้อขั้นต่ำ สิ่งที่ยากคือการทำให้ยอดขายพุ่งสูงเพียงพอก่อนการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นต่อไป ยอดขายที่ชะลอตัวอาจทำให้คุณมีสินค้าในคลังที่ล้าสมัย
Stringberry จัดการกับอุปสรรคนี้โดยใช้รูปแบบการพิมพ์ตามคำสั่งสำหรับเคสโทรศัพท์ของตน โดยอัปเดตแค็ตตาล็อกเมื่อมีการเปิดตัวรุ่นโทรศัพท์ใหม่

Stringberry ใช้รูปแบบการพิมพ์ตามคำสั่งสำหรับเคสโทรศัพท์เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าล้นสต็อก
ประเภทสินค้า: สินค้าอุปโภคบริโภคหรือสินค้าใช้แล้วทิ้งมักกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำเนื่องจากมีอายุการใช้งานที่จำกัด ซึ่งทำให้ลูกค้ามีเหตุผลที่ชัดเจนในการกลับมาใช้บริการที่ร้านของคุณ
Harry’s ใช้ประโยชน์จากโมเดลนี้โดยการขายสินค้าต่าง ๆ เช่น มีดโกน ครีมโกนหนวด และโรลออน ซึ่งเป็นสินค้าที่ลูกค้าต้องซื้อใช้เป็นประจำ

สินค้าเน่าเสียง่าย: สินค้าเน่าเสียง่ายมีอุปสรรคในแบบของตัวเองสำหรับธุรกิจออนไลน์ โดยมักต้องการสิ่งต่อไปนี้:
- การจัดส่งที่รวดเร็วซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
- เงื่อนไขการจัดเก็บพิเศษ
- การจัดการสินค้าคงคลังอย่างระมัดระวัง
- การป้องกันการเน่าเสีย
แม้แต่สินค้าที่มีอายุการเก็บรักษานานกว่าก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับคลังสินค้าและการจัดส่ง ตัวอย่างเช่น Augason Farms ที่เน้นไปที่อาหารแห้งและอาหารที่แช่แข็งเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและทำให้การจัดเก็บง่ายขึ้น

ข้อจำกัดและกฎระเบียบของสินค้า: ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบอาจมีตั้งแต่ความไม่สะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงอุปสรรคสำคัญ ก่อนที่จะทำตามไอเดียสินค้าของคุณ ควรศึกษาข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นในเรื่องต่อไปนี้:
- การนำเข้าสินค้าของคุณ
- การจัดส่งไปยังประเทศต่าง ๆ
- หมวดหมู่สินค้าเฉพาะ (เช่น เคมีภัณฑ์ อาหาร หรือเครื่องสำอาง)
ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร ผู้ให้บริการคลังสินค้า และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) เพื่อทำความเข้าใจข้อกำหนดสำหรับประเภทสินค้าของคุณ
ความสามารถในการขยายตัวของสินค้า: ถึงแม้การเปิดตัวธุรกิจของคุณอาจเป็นสิ่งที่คุณให้ความสำคัญในปัจจุบัน แต่ควรสร้างความสามารถในการขยายตัวให้เข้ากับรูปแบบธุรกิจของคุณตั้งแต่เริ่มต้น โดยพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:
- คุณจะจัดการการผลิตเมื่อธุรกิจเติบโตได้อย่างไร
- คุณสามารถรักษาคุณภาพในปริมาณที่สูงขึ้นได้หรือไม่
- คุณจะต้องเพิ่มพนักงานตามสัดส่วนกับคำสั่งซื้อหรือไม่
- ความพร้อมของวัสดุหรือส่วนประกอบ
- ตัวเลือกสำหรับการจ้างผลิตจากภายนอก
สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อสินค้าแฮนด์เมดหรือสินค้าที่ใช้วัสดุหายาก ลองคิดดูว่าคุณจะรักษาคุณภาพไว้ได้อย่างไรในขณะที่ยังต้องตอบสนองต่อความต้องการที่สูงขึ้น
6 เคล็ดลับสำหรับการวิจัยสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าคุณจะวิจัยสินค้าตัวแรกหรือตัวที่ห้าสิบ กลยุทธ์เหล่านี้สามารถช่วยให้คุณค้นพบไอเดียที่มีแนวโน้มดีได้
- ติดตามเทรนด์ผู้บริโภคจากสื่อสิ่งพิมพ์
- ค้นหาสินค้าขายดีใน Amazon
- ดูเว็บไซต์คัดสรรสินค้าจากโซเชียลมีเดีย
- ประเมินตลาดขายส่ง B2B
- หาข้อมูลจากฟอรัมเฉพาะกลุ่ม
- ถามลูกค้าของคุณเอง
1. ติดตามเทรนด์ผู้บริโภคจากสื่อสิ่งพิมพ์
ติดตามสินค้าและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับเทรนด์ โโยแหล่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ของสินค้าและรักษาความสามารถในการแข่งขันได้
ลองใช้ Trend Hunter แพลตฟอร์มฟรีที่มีสมาชิกในชุมชนกว่า 200,000 คนที่ติดตามเทรนด์ด้านความงาม แฟชั่น วัฒนธรรม สินค้าหรูหรา และอื่น ๆ อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หาก “โครงการริเริ่มนมวีแกน” กำลังได้รับความนิยม คุณอาจมุ่งเน้นการวิจัยไปที่ทางเลือกสินค้านมวีแกน อีกหนึ่งแพลตฟอร์มเกี่ยวกับเทรนด์ที่ควรลองดูคือ PSFK ซึ่งนำเสนอรายงานระดับพรีเมียมเกี่ยวกับเทรนด์การค้าปลีกและประสบการณ์ลูกค้า
Inkkas แสดงให้เห็นว่าการศึกษาเทรนด์สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้ โดยสังเกตเห็นความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นในสิ่งทอของเปรูและสร้างธุรกิจรองเท้าโดยทำงานร่วมกับช่างฝีมือในท้องถิ่น
2. ค้นหาสินค้าขายดีใน Amazon
Amazon มีตลาดขนาดใหญ่ที่มีไอเดียสินค้าอยู่นับไม่ถ้วน เริ่มจากรายการสินค้าขายดีเพื่อค้นหาสินค้าที่ทำกำไรได้ในหมวดหมู่ต่าง ๆ โดยรายการนี้จะอัปเดตทุกชั่วโมงตามยอดขาย ดังนั้นคุณจะได้ไอเดียสินค้าสำหรับธุรกิจของคุณอยู่เสมอ
เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดยิ่งขึ้น ให้ลองดูเครื่องมืออย่าง Jungle Scout ซึ่งช่วยให้คุณ:
- ค้นหาสินค้าจกา Amazon กว่า 475 ล้านรายการ
- กรองตามคีน์เวิร์ดหรือหมวดหมู่
- ประเมินไอเดียสินค้าโดยใช้ส่วนขยาย Chrome
เมื่อทำการวิจัยสินค้าใน Amazon ให้ดูที่:
- รีวิวสินค้า
- ค่าโฆษณา
- รุ่นสินค้า
- การจัดกลุ่มสินค้า
3. ดูเว็บไซต์คัดสรรสินค้าจากโซเชียลมีเดีย
แพลตฟอร์มที่เน้นรูปภาพช่วยวัดความต้องการของตลาดผ่านยอดการกดถูกใจและรูปภาพที่กำลังเป็นกระแสได้ ลองใช้:
- Pinterest สำหรับการค้นหาสินค้าในวงกว้าง
- We Heart It สำหรับเทรนด์แฟชั่นและความงาม
- Dudepins สำหรับสินค้าของผู้ชาย
4. ประเมินตลาดขายส่ง B2B
ตลาดขายส่งจะเชื่อมคุณเข้ากับผู้ผลิตและสินค้าของผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งมีแพลตฟอร์มที่สำคัญได้แก่:
- Alibaba สำหรับการสั่งซื้อ B2B ครั้งละจำนวนมาก
- AliExpress สำหรับการทดลองซื้อจำนวนไม่มากและดรอปชิป
- Faire
- Tradekey
- Global Sources
- Made-in-China
- Wholesale Central
Jeremy Sonne ผู้ก่อตั้ง Decibel กล่าวว่า “เคล็ดลับคือการดูตลาดต่าง ๆ เพื่อดูว่าอะไรเป็นที่นิยม จากนั้นตรวจสอบกับ Alibaba เพื่อดูว่าคุณสามารถปรับเปลี่ยนในลักษณะเฉพาะได้หรือไม่”
5. หาข้อมูลจากฟอรัมเฉพาะกลุ่ม
ฟอรัมเฉพาะกลุ่มและอุตสาหกรรมช่วยให้คุณค้นพบสินค้าใหม่ ๆ เพื่อขายและเชื่อมต่อกับลูกค้าเป้าหมายผ่านความสนใจร่วมกันได้
กลุ่มเฉพาะบางกลุ่ม เช่น เกม มีชุมชนออนไลน์ที่มีความคึกคักเป็นพิเศษ ลองดูที่เว็บไซต์อย่าง GameFAQs หรือ NeoGAF เพื่อดูว่าเหล่าเกมเมอร์กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่
Reddit เป็นฟอรัมที่รวมทุกฟอรัม โดยมี 3.4 ล้านซับเรดดิต (ชุมชน) ที่ครอบคลุมทุกหัวข้อที่เท่าที่คุณคิดว่าจะมีได้ ตั้งแต่เทคโนโลยีไปจนถึงวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
ถ้าคุณไม่สามารถหาฟอรัมสำหรับกลุ่มเฉพาะของคุณได้ ให้ลองใช้ Google แล้วค้นหา “[กลุ่มเฉพาะของคุณ] + ฟอรัม” เพื่อค้นหาชุมชนที่เกี่ยวข้อง
6. ถามลูกค้าของคุณเอง
ลูกค้าที่คุณมีอยู่ไม่ว่าจะ 5 หรือ 500 คน ก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับไอเดียสินค้า ลองส่งอีเมลถึงลูกค้าเพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ
ลองดูวิธีการของ Planted Detroit ที่พวกเขามอบส่วนลด 20% สำหรับการสั่งซื้อครั้งถัดไปให้กับลูกค้าที่กรอกแบบสำรวจในโพสต์ล่าสุดบน X
คุณอาจใช้ข้อเสนอแนะแบบนี้เพื่อชี้นำกระบวนการพัฒนาสินค้าก็ได้ จะด้วยการจะติดต่อเองโดยตรงหรือให้ทีมงานของคุณติดต่อก็ได้
7 เครื่องมือวิจัยสินค้าที่ดีที่สุด
เครื่องมือที่เหมาะสมจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด พฤติกรรมของลูกค้า และประสิทธิภาพของคู่แข่ง นี่คือ 7 เครื่องมือที่จะช่วยในการวิจัยสินค้าของคุณ:
1. PureSpectrum
เหมาะสำหรับ: การรวบรวมข้อมูล
PureSpectrum ช่วยให้คุณรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตลาดเป้าหมายของคุณได้ผ่าน:
- การสร้างแบบสำรวจ
- การแบ่งกลุ่มลูกค้าและตลาด
- การแสดงข้อมูล
- การทดสอบ A/B
- การติดตามแบรนด์
คุณสามารถใช้เพื่อทดสอบไอเดียสินค้าใหม่และติดตามความรู้สึกของผู้บริโภคเพื่อชี้นำการตัดสินใจเกี่ยวกับสินค้าของคุณ
2. Tableau
เหมาะสำหรับ: การแสดงข้อมูล
Tableau เปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็นแดชบอร์ดภาพเชิงโต้ตอบได้ มีอินเทอร์เฟซแบบลากและวางที่สะดวกซึ่งช่วยให้คุณ:
- สร้างรายงานที่กำหนดเองโดยไม่ต้องมีทักษะทางเทคนิค
- วิเคราะห์ข้อมูลการขายและพฤติกรรมของลูกค้า
- แสดงแนวโน้มในช่วงเวลาต่าง ๆ
- มองเห็นรูปแบบในตลาดของคุณ
3. Byzzer
เหมาะสำหรับ: ข้อมูลตลาดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
Byzzer ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงข้อมูลตลาดของ NielsenIQ ได้ในราคาที่เหมาะสม โดยใช้เพื่อ:
- ติดตามแนวโน้มหมวดหมู่
- เข้าใจตำแหน่งการแข่งขัน
- ติดตามประสิทธิภาพการขาย
- ระบุโอกาสในการเติบโต
4. Niche Scraper
เหมาะสำหรับ: การค้นหาสินค้า
นี่คือสิ่งที่จำเป็นต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซและดรอปชิป โดย Niche Scraper จะช่วยให้คุณ:
- ค้นหาสินค้าที่กำลังได้รับความนิยม
- วิเคราะห์สินค้าที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเฉพาะของคุณ
- มองเห็นโอกาสในตลาด
5. SimilarWeb
เหมาะสำหรับ: การวิเคราะห์คู่แข่ง
SimilarWeb ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคู่แข่ง ซึ่งจะแสดงให้คุณเห็น:
- แหล่งที่มาของการเข้าชม
- ข้อมูลประชากรของผู้ชม
- การมีส่วนร่วมของลูกค้า
- ประสิทธิภาพของสินค้า
6. Radarly
เหมาะสำหรับ: การดูความคิดเห็นจากโซเชียลมีเดีย
ใช้ Radarly เพื่อติดตามการสนทนาผ่านโซเชียลมีเดียและฟอรัมเพื่อ:
- ติดตามการกล่าวถึงแบรนด์
- วิเคราะห์ความรู้สึกของลูกค้า
- ค้นพบเทรนด์ใหม่
- ปรับตัวตามข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์
7. Think with Google
เหมาะสำหรับ: ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค
แหล่งข้อมูลฟรีนี้มีเครื่องมือที่มีประโยชน์ไว้หลายอย่าง:
- Google Trends สำหรับการติดตามปริมาณการค้นหา
- Insights Finder สำหรับการค้นหากลุ่มลูกค้า
- Market Finder สำหรับการค้นหาโอกาสระดับโลก
ค้นหาสินค้าที่ขายดีที่สุดตัวต่อไปของคุณ
การเลือกสินค้าและตลาดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ลองใช้เครื่องมือเหล่านี้ควบคู่กับเกณฑ์ที่เราได้พูดถึงเพื่อค้นหาสินค้าที่มีการแข่งขันต่ำและมีความต้องการสูงซึ่งสามารถขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้เติบโตได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิจัยสินค้า
การวิจัยสินค้าและการวิจัยตลาดต่างกันอย่างไร?
การวิจัยสินค้าจะประเมินความสำเร็จที่เป็นไปได้ของสินค้าในตลาดที่เลือก ในขณะที่การวิจัยตลาดมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจความต้องการและความชื่นชอบของลูกค้า รวมถึงสถานการณ์ของการแข่งขันด้วย
จะเริ่มการวิจัยสินค้าได้อย่างไร?
ทำตามขั้นตอนสำคัญนี้
- ประเมินขนาดตลาดโดยใช้เครื่องมือวิจัยเพื่อประมาณจำนวนลูกค้า
- วิเคราะห์คู่แข่งที่ขายสินค้าที่คล้ายกันและแนวทางการตลาดของพวกเขา
- กำหนดว่าหมวดหมู่สินค้าใดเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณที่สุด
- กำหนดลูกค้าเป้าหมายของคุณ
- คำนวณต้นทุนและอัตรากำไร
จะวิจัยสินค้าเพื่อขายได้อย่างไร?
ใช้กลยุทธ์เหล่านี้
- ติดตามเทรนด์ผู้บริโภคจากสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น Trend Hunter เพื่อมองหาไอเดียยอดนิยม
- ศึกษาผู้ขายที่ดีที่สุดใน Amazon ในหมวดหมู่ของคุณ
- ดูเว็บไซต์โซเชียล เช่น Pinterest และ We Heart It เพื่อดูเทรนด์ต่าง ๆ
- สำรวจตลาด B2B เช่น Alibaba เพื่อค้นหาไอเดียสินค้า
- อ่านฟอรัมเฉพาะกลุ่มเพื่อทำความเข้าใจความสนใจของลูกค้า
- สำรวจลูกค้าปัจจุบันของคุณเกี่ยวกับไอเดียสินค้าใหม่
ตัวอย่างของการวิจัยสินค้าคืออะไร?
ตัวอย่างที่ดีคือการใช้สิ่งพิมพ์ที่นำเสนอเรื่องเทรนด์เพื่อค้นหาไอเดียที่ได้รับความนิยมและประเมินศักยภาพของพวกเขาในฐานะสินค้า หลังจากที่มั่นใจในไอเดียของคุณแล้ว คุณจะเข้าสู่การพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างต้นแบบและจัดตั้งห่วงโซ่อุปทานของคุณ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยสินค้าคืออะไร?
การวิจัยสินค้าช่วยให้คุณ:
- ประเมินความสามารถในการทำกำไรของสินค้าก่อนเปิดตัว
- เข้าใจความต้องการของลูกค้า
- ประเมินความต้องการในตลาด
- วิเคราะห์การแข่งขัน
- ค้นหาโอกาสในตลาด
- ลดความเสี่ยงในการเปิดตัว
กระบวนการวิจัยสินค้าใช้เวลานานแค่ไหน?
ระยะเวลาจะแตกต่างกันไปตาม
- ความซับซ้อนของสินค้า
- ข้อกำหนดของอุตสาหกรรม
- ขอบเขตการวิจัย
สินค้าง่าย ๆ อาจใช้เวลาวิจัยเพียงไม่กี่สัปดาห์ ในขณะที่สินค้าที่ซับซ้อนอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนและต้องผ่านการตอบรับ สำรวจ ทดสอบต้นแบบ และการวิเคราะห์คู่แข่งหลายรอบ ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้เวลา 4 ถึง 12 สัปดาห์ในการวิจัยสินค้าอย่างละเอียดก่อนการพัฒนา
ขั้นตอนสำคัญของการวิจัยสินค้ามีอะไรบ้าง?
- การวิเคราะห์ตลาด: ประเมินความต้องการ ค้นหาเทรนด์ และวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
- การวิเคราะห์คู่แข่ง: ศึกษาสินค้าที่คล้ายกัน ประเมินความอิ่มตัวของตลาด และมองหาโอกาสสร้างความแตกต่าง
- การวิจัยลูกค้า: ทำการสำรวจและจัดกลุ่มสนทนา รวบรวมความคิดเห็น และทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า
- การตรวจสอบสินค้า: ทดสอบต้นแบบ ทดลองไอเดีย และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะจากแบบสำรวจ
- การตั้งราคาและการวางตำแหน่ง: ประเมินต้นทุนการผลิต ตั้งราคาแข่งขัน และวางตำแหน่งในตลาด
- ข้อเสนอแนะแบบต่อเนื่อง: รวบรวมข้อเสนอแนะแบบสำรวจจากลูกค้า รักษาความเหมาะสมของสินค้าในตลาด และปรับปรุงตามที่จำเป็น