ในหลาย ๆ ครั้ง สิ่งที่ยากที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจคือการหาไอเดียที่เหมาะ ตัวอย่างเช่น คุณอาจอยากทำธุรกิจที่คุณสามารถทำเป็นงานเสริมได้ในขณะที่ยังทำงานประจำอยู่ หรือบางทีคุณอาจอยากทำธุรกิจที่ทำงานจากที่บ้านและทำเงินจากทักษะที่คุณมีอยู่
หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจ นี่คือบทความที่เราจะมอบ 22 ไอเดียธุรกิจ E-Commerce ที่กำกำไรได้มากมายและเป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้
22 ไอเดียอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุน แต่ทำเงินได้
- เริ่มธุรกิจดรอปชิป
- เริ่มทำสินค้าความงามแบบติดฉลากแบรนด์
- ขายสินค้าทำมือ
- ทำสินค้าแบรนด์ของตัวเอง
- ขายกล่องสมัครสมาชิกให้กับตลาดเฉพาะกลุ่ม
- ขายคอร์สออนไลน์
- ทำแบรนด์เสื้อผ้า
- คืนชีวิตให้ของเล่นเก่า
- ขายในตลาดออนไลน์
- เขียนและขายหนังสือ
- ขายภาพถ่าย
- ทำสินค้าออร์แกนิกและสินค้าจากธรรมชาติ
- ขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่สั่งทำได้
- ซ่อมแซมผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮม
- ขายทักษะของคุณ
- เป็นนักการตลาดแบบพันธมิตร
- เปิดร้านขายอุปกรณ์ที่พิมพ์งาน 3 มิติ
- ขายเครื่องมือการศึกษา VR และ AR
- สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ขายของขวัญที่สั่งทำได้
- สร้างและขายการ์ดงานแต่ง DIY
- เปิดร้านขายของมือสองออนไลน์
1. เริ่มธุรกิจดรอปชิป
หากคุณกำลังมองหาไอเดียอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนมาก ดรอปชิปอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะ
ดรอปชิปเป็นวิธีการจัดการคำสั่งซื้อที่คุณไม่จำเป็นต้องซื้อ เก็บ หรือส่งสินค้าด้วยตัวเอง คุณจะทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ดรอปชิปที่จะทำหน้าที่พวกนี้แทนคุณ ซึ่งหมายความว่าคุณจะจ่ายเงินสำหรับสินค้าเมื่อคุณขายได้เท่านั้น
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในการดรอปชิปมีดังนี้
- กาแฟ
- หนังสือ
- ผลิตภัณฑ์ CBD
วิธีเริ่มต้นคือให้หาซัพพลายเออร์ดรอปชิปที่มีสินค้าที่คุณต้องการขาย แอปพลิเคชันอย่าง DSers, Spocket และ DropCommerce สามารถเชื่อมต่อกับร้านค้า E-Commerce ของ Shopify ได้ เมื่อคุณขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ของคุณ ระบบจะนำคุณไปยังซัพพลายเออร์เพื่อจัดส่งให้กับลูกค้าโดยอัตโนมัติ
2. เริ่มทำสินค้าความงามแบบติดฉลากแบรนด์
การทำสินค้าติดฉลากแบรนด์เป็นโมเดลธุรกิจที่ผู้ประกอบการร่วมมือกับผู้ผลิตเพื่อผลิตสินค้าที่กำหนดได้เอง คุณสามารถใช้ประโยชน์จากธุรกิจสุขภาพและความงามที่มีมูลค่า 37 พันล้านดอลลาร์ได้ด้วยการทำสินค้าเครื่องสำอาง สกินแคร์ และเครื่องสำอางแบบติดฉลากแบรนด์
สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจทำสินค้าติดฉลากแบรนด์ในธุรกิจความงาม ให้ติดต่อผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าที่คุณต้องการขายอยู่แล้ว ร่วมมือกันพัฒนาสูตร สั่งสินค้าตัวอย่างเพื่อตรวจสอบคุณภาพ และดูความคิดเห็นจากผู้ประกอบการที่ทำงานกับพวกเขาอยู่แล้ว
เมื่อคุณได้ผู้ผลิตแล้ว ให้สร้างร้านค้าออนไลน์ ออกแบบฉลากของคุณ และอัปโหลดรายการสินค้า จากนั้นเริ่มทำการตลาดสินค้าความงามตัวใหม่ของคุณเพื่อสร้างการรับรู้
3. ขายสินค้าทำมือ
หากคุณชอบอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนแบบทำสินค้าทำมือ คุณอาจเปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้โดยการขายและทำการตลาดให้กับสินค้าทำมือผ่านร้านค้าออนไลน์ของคุณเอง
นี่คือสินค้าที่นิยมทำและขาย
- เครื่องประดับ
- เทียน
- บาธบอมบ์
- พินอีนาเมล
- สินค้างานไม้
เข้าถึงผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากขึ้นด้วยการลงขายสินค้าทำมือของคุณในตลาดออนไลน์อย่าง Etsy
แต่สิ่งที่คุณควรรู้คือ Etsy จะหักค่าธรรมเนียมจากการขายของคุณ การใช้ Shopify ร่วมกับ Etsy จะช่วยให้คุณได้ประโยชน์จากทั้งสองแพลตฟอร์ม นั่นคือคุณจะเข้าถึงฐานลูกค้าของ Etsy ที่กำลังมองหาสินค้าทำมือได้ ในขณะที่ยังคงมีกำไรงาม ๆ จากคำสั่งซื้อที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ E-Commerce ของคุณได้ด้วย
อ่านเพิ่มเติม: วิธีขายของใน Etsy ให้สำเร็จ
4. ทำสินค้าแบรนด์ของตัวเอง
ถ้าคุณมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย ให้สร้างรายได้จากผู้ชมของคุณโดยการขายสินค้าของแฟนคลับ
ใช้บริการพิมพ์ตามสั่งอย่าง Printful เพื่อสร้างงานออกแบบที่คุณสามารถทำโลโก้หรือสโลแกนของคุณได้เอง แล้วอัปโหลดผลงานออกแบบลงในแก้ว เสื้อยืด เคสโทรศัพท์ อะไรก็ได้ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณสนใจ และขายทางออนไลน์

Printful ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถอัปโหลดผลงานออกแบบที่ทำได้เองลงในเสื้อยืดที่พิมพ์ตามสั่ง
5. ขายกล่องสมัครสมาชิกให้กับตลาดเฉพาะกลุ่ม
การสมัครสมาชิกถือเป็นไอเดียธุรกิจ E-Commerce ที่ทำเงินได้และควรให้ความสนใจหากคุณต้องการสร้างรายได้ประจำ โดยคุณจะต้องเรียกเก็บเงินจากลูกค้าทุกเดือน (ยกเว้นเมื่อลูกค้ายกเลิก) เป็นค่ากล่องสมัครสมาชิก
เลือกธุรกิจในแวดวงที่โมเดลธุรกิจสมัครสมาชิกได้รับความนิยมจากลูกค้าอยู่แล้ว โดยข้อมูลจาก Statista แวดวงที่นิยมใช้โมเดลการสมัครสมาชิกได้แก่
- ของชำ อาหาร และเครื่องดื่ม
- ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล
- ผลิตภัณฑ์ในบ้าน
- เสื้อผ้า
- ของเล่น เกม และหนังสือ
Fresh Patch เป็นธุรกิจที่ใช้โมเดลนี้เพื่อสร้างรายได้ออนไลน์ โดยขายแผ่นหญ้าสำหรับสัตว์เลี้ยงเพื่อใช้เป็นห้องน้ำในบ้าน
โดยมากกว่า 80% ของยอดขายมาจากการสมัครสมาชิก ผู้ก่อตั้งอย่าง Andrew Feld แนะนำผู้ที่คิดจะเริ่มธุรกิจให้ “พยายามหาของที่จำเป็นต้องใช้และต้องเติมใหม่อยู่เรื่อย ๆ”

Fresh Patch ตอบโจทย์เจ้าของสัตว์เลี้ยงด้วยกล่องสมัครสมาชิกสำหรับลูกสุนัข
6. ขายคอร์สออนไลน์
ดึงดูดลูกค้าหลายล้านคนที่จ่ายเงินค่าการศึกษาระดับพรีเมียมด้วยการขายคอร์สและสื่อการเรียนรู้ของคุณเอง สร้างรายได้จากทักษะของคุณโดยสร้างหลักสูตรออนไลน์เกี่ยวกับสิ่งที่คุณรู้ลึกรู้จริง ตั้งแต่การปั้นหม้อไปจนถึงการทำอาหาร ยังไงก็ต้องมีใครสักคนที่อยากพัฒนาความรู้ในแบบที่คุณมีแน่นอน
เพื่อสร้างลูกค้าใหม่และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ผู้สร้างคอร์สมักจะแชร์วิดีโอสั้น ๆ ที่มีข้อมูลบน Instagram, Facebook และ TikTok ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้ชมเข้าไปที่เว็บไซต์ของพวกเขาและซื้อคอร์สเต็ม หากคุณชอบแบ่งปันความรู้กับผู้คนทั่วโลก การสร้างคอร์สออนไลน์อาจเป็นช่องทางที่น่าพอใจและทำเงินได้
7. ทำแบรนด์เสื้อผ้า
ขายเสื้อผ้าออนไลน์เพื่อคว้าโอกาสในตลาดเสื้อผ้าทั่วโลกที่ผู้บริโภคใช้จ่ายประมาณปีละ 180 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ถึงแม้คุณจะคงอัตรากำไรให้สูงได้ด้วยการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยมือเอง แต่ก็มีโมเดลธุรกิจที่มีความยากในการเริ่มต้นน้อยกว่าดังนี้
- ขายส่ง - ซื้อสินค้าแฟชั่นจากผู้ขายส่งและขายในราคาที่สูงขึ้น
- บริการพิมพ์ตามสั่ง - อัปโหลดผลงานออกแบบที่คิดขึ้นเองลงในสินค้าเสื้อผ้า และให้ผู้ผลิตพิมพ์ บรรจุหีบห่อ และจัดส่งให้กับลูกค้าของคุณ
Sarah Donofrio เป็นดีไซน์เนอร์ที่ประสบความสำเร็จซึ่งมีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง และเธอแนะนำให้เจ้าของธุรกิจใหม่คอยติดตามเทรนด์แฟชั่น โดยเธอกล่าวว่า “Athleisure เป็นอะไรที่น่าลอง โดยฉันจะไม่ทำกางเกงรัดรูปหรือสปอร์ตบราหรอก แต่เสื้อครอปผ้าทอสวย ๆ ตัวนี้จะเหมาะมากกับกางเกงรัดรูป นี่คือวิธีที่ฉันเล่นกับเทรนด์”

Sarah Donofrio ขายเสื้อที่เธอออกแบบเองผ่านร้านค้าออนไลน์
8. คืนชีวิตให้ของเล่นเก่า
หากคุณกำลังมองหาไอเดียธุรกิจอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนสตาร์ตอัปที่สามารถทำเงินได้อย่างรวดเร็ว ให้นำของเล่นที่ชำรุด เสียหาย หรือโดนทิ้งมาปัดฝุ่นใหม่และขายในราคาที่สูงขึ้น
นี่คือวิธีการหาของเล่นเด็กที่สามารถนำมาขายต่อได้
- เข้าร่วมตลาดเปิดท้ายขายของ
- ถามเพื่อนและครอบครัว
- ดูที่ Facebook Marketplace ในส่วนของ “สินค้ารวมในชุด” จากของเล่นเก่า
พัฒนาทักษะ DIY ของคุณเพื่อคืนชีวิตให้กับของเล่นเหล่านี้ แล้วลงขายในเว็บไซต์ออนไลน์ของคุณ และดึงดูดพ่อแม่ที่กำลังมองหาของเล่นใหม่ในราคาจับต้องได้
9. ขายในตลาดออนไลน์
ตลาดออนไลน์อย่าง Amazon ให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าเกือบทุกอย่างที่ต้องการซื้อออนไลน์
ลองดูหมวดหมู่สินค้าขายดีของ Amazon แล้วดูว่าคุณสามารถใช้ประโยชน์จากความสนใจที่มีอยู่จากลูกค้าได้หรือไม่ มีโอกาสที่คุณจะหาสินค้าราคาถูกจำนวนมากจากผู้ขายส่งและลงรายการขายบน Amazon ได้
นอกจาก Amazon แล้ว ตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอื่น ๆ สำหรับการขายสินค้าออนไลน์ ได้แก่ eBay และ Facebook Marketplace
ถึงแม้การขายในตลาดออนไลน์จะช่วยให้คุณเข้าถึงฐานลูกค้าที่พร้อมซื้อได้ แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยเฉพาะการหักค่าธรรมเนียมจากกำไรของคุณ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ตลาดจะลบร้านค้าขนาดเล็กของคุณและทำให้ยอดขายลดลงในชั่วข้ามคืน
ลดความเสี่ยงนั้นโดยการเปิดร้านค้าออนไลน์ควบคู่ไปกับการลงขายในตลาดของคุณ ด้วยวิธีนี้ หากเกิดอะไรแย่ ๆ ขึ้น คุณก็ยังสามารถรักษาธุรกิจของคุณให้ดำเนินต่อไปได้
10. เขียนและขายหนังสือ
ทำเงินจากทักษะด้านการเขียนของคุณด้วยการพิมพ์หนังสือด้วยตัวคุณเอง แพลตฟอร์มการพิมพ์หนังสืออย่าง Kindle Direct Publishing, Lulu หรือ Reedsy ทำให้การขายหนังสือออนไลน์เป็นเรื่องง่าย โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้จะพิมพ์และจัดส่งหนังสือตามจุดขาย ซึ่งหมายความว่าคุณไม่ต้องเก็บหนังสือที่ขายไม่ได้ไว้ที่บ้านคุณเอง
ถ้าคุณไม่เก่งเรื่องการเขียน เราก็มีโมเดลธุรกิจอื่น ๆ สำหรับการขายหนังสือดังนี้
- อีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุน ดรอปชิปหนังสือ
- เป็น Affiliate ให้กับ eBook ที่เขียนเสร็จแล้ว
- เปิดร้านหนังสือใกล้บ้านคุณหรือร้านออนไลน์

คุณสามารถคัดสรรและขายหนังสือเก่าและใหม่ได้เหมือนกับที่ Slant of Light Books ทำผ่านร้านค้าออนไลน์ของพวกเขา
11. ขายภาพถ่าย
ถ้าคุณเป็นช่างภาพฝีมือดี ให้หยิบกล้องถ่ายรูป (หรือโทรศัพท์ก็ได้) จากนั้นถ่ายภาพและขายภาพถ่ายทางออนไลน์เพื่อหารายได้เสริม
นี่คือเว็บไซต์ที่จะจ่ายเงินทุกครั้งที่มีการอนุญาตให้ใช้รูปภาพหรือดาวน์โหลดรูปภาพของคุณ
หากต้องการสร้างรายได้จากอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้น ให้ขายบริการถ่ายภาพไปด้วย โดยลงรายการแพ็กเกจถ่ายภาพของคุณในเว็บไซต์ฟรีแลนซ์อย่าง Fiverr และ Upwork หรือสมัครเป็นพันธมิตร Shopify ซึ่งบ่อยครั้งที่คุณจะคิดค่าบริการสำหรับการถ่ายภาพตามสั่งเหล่านี้ได้ในราคาที่สูงกว่า
12. ทำสินค้าออร์แกนิกและสินค้าจากธรรมชาติ
ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพจ่ายเงินหลายพันล้านต่อปีเพื่อซื้อสินค้าเครื่องสำอางและสินค้าเพื่อการดูแลส่วนบุคคลที่ทำจากธรรมชาติ คุณอาจสร้างและขายสินค้นคุณภาพจากธรรมชาติของคุณเองทางออนไลน์ได้ด้วยสินค้าต่อไปนี้
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวออร์แกนิก
- อาหารและขนมจากพืช
- น้ำมันหอมระเหย
- อาหารเสริม
Justina Blakeney ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ NiaWigs กล่าวว่า “ลูกค้าเริ่มสนใจผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและออร์แกนิกมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับทางเลือกในไลฟ์สไตล์ของตนเอง คุณอาจเริ่มขายสินค้าจากธรรมชาติทางออนไลน์เพื่อสนับสนุนผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติและยั่งยืนได้”
13. ขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่สั่งทำได้
ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ผู้คนมีต่อสัตว์เลี้ยงของพวกเขาผ่านการขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่สั่งทำได้ ลองนึกภาพสถานที่ที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถหาอะไรก็ได้ตั้งแต่เสื้อผ้าที่สั่งทำพิเศษไปจนถึงของเล่นและอุปกรณ์ที่สั่งทำได้ ซึ่งปรับแต่งให้เหมาะกับขนาด สายพันธุ์ และบุคลิกของสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
คุณสามารถเริ่มอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนด้วยการสร้างร้านค้า Shopify เพื่อจัดแสดงสินค้า และเชื่อมโยงร้านค้าของคุณกับ Printful เพื่อสร้างสินค้าสำหรับผู้ซื้อที่ไม่ซ้ำใครได้อย่างแท้จริง ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงการรับรองและเรื่องราวของสัตว์เลี้ยงเพื่อสร้างกลุ่มผู้ใช้สินค้าจริงให้กับแบรนด์ของคุณ
14. ซ่อมแซมผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮม
ครัวเรือนหลายล้านทั่วโลกใช้ระบบลำโพงอัจฉริยะ แต่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมนั้นมีราคาแพง และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเงิน 100 เหรียญหรือมากกว่านั้นเพื่อซื้ออุปกรณ์ใหม่เอี่ยม
หากคุณกำลังมองหาไอเดียธุรกิจพาร์ทไทม์ ให้มองหาผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมเพื่อซ่อมแซม ค้นหารุ่นเก่า เสีย หรือชำรุดอย่าง
- ลำโพงบลูทูธ
- กล้องรักษาความปลอดภัยในบ้าน
- เครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ
- อุปกรณ์ติดตามผลการออกกำลังกาย
- ระบบควบคุมสภาพอากาศ
จากนั้นใช้ทักษะ DIY ซ่อมแซมสิ่งเหล่านี้ ลงขายในเว็บไซต์ออนไลน์ของคุณในราคาที่สูงขึ้นและทำเงิน
15. ขายทักษะของคุณ
ผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวที่คุณขายผ่านร้านค้าออนไลน์ สร้างรายได้จากทักษะของคุณและเปลี่ยนเป็นบริการได้ด้วยไอเดียดังนี้
- การเขียนงานแบบฟรีแลนซ์
- การแปล
- การทำ SEO
- การออกแบบเว็บไซต์
- การถ่ายภาพ
- การฝึกอบรมส่วนบุคคล
Michael Keenan เป็นนักการตลาดฟรีแลนซ์ที่ใช้ทักษะ SEO ของเขาในการขายบริการแบบฟรีแลนซ์ทางออนไลน์ เขากล่าวว่า “ผมเริ่มเขียนให้กับบริษัทและทำเงินได้บทความละ 20 ดอลลาร์ในช่วงเวลาที่ทำงานประจำ เมื่อผมเริ่มปรับปรุงบริการของตัวเองและมีประสบการณ์มากขึ้น ผมก็เริ่มทำงานเต็มเวลาและทำเงินได้หกหลักต่อปี”
16. เป็นนักการตลาดแบบพันธมิตร
การตลาดแบบพันธมิตร เป็นรูปแบบอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนที่ไม่จำเป็นต้องให้คุณสร้างสินค้าหรือบริการของคุณเอง แต่คุณจะร่วมมือกับแบรนด์ โปรโมตสินค้าหรือบริการของพวกเขา และได้ค่าคอมมิชชันจากยอดขายที่คุณทำได้
นี่คือวิธีดึงดูดผู้เข้าชมไปที่เว็บไซต์ของพันธมิตรของคุณ
- สร้างผู้ติดตามในช่องทางโซเชียลมีเดีย
- สร้างรายชื่ออีเมล
- แชร์รีวิวสินค้าและบทแนะนำในบล็อกของคุณ
- เผยแพร่หน้าเปรียบเทียบ
- จ่ายค่าโฆษณาออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่พันธมิตรของคุณต้องการ
กุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในฐานะนักการตลาดแบบพันธมิตรคือการกระจายพันธมิตรของคุณในตลาดเฉพาะกลุ่ม หากคุณกำลังโปรโมตผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังโปรโมตผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ให้ร่วมมือกับแบรนด์ที่ขายอาหาร ของเล่น และยา วิธีนี้จะทำให้คุณจะไม่ขาดรายได้หากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งปิดโปรแกรมพันธมิตรหรือปฏิเสธคอมมิชชันของคุณ
17. เปิดร้านขายอุปกรณ์ที่พิมพ์งาน 3 มิติ
ตลาดเครื่องแต่งกายที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติเป็นภาคส่วนเล็ก ๆ แต่กำลังมีการเติบโต ร้านค้าออนไลน์ที่มีการสร้างสรรค์ที่พิมพ์ 3 มิติจะตอบสนองความต้องการของผู้คนในแง่ของสินค้าที่มีความเฉพาะตัวและน่าสนใจ
ตั้งแต่เครื่องประดับแฟชั่นไปจนถึงของตกแต่งบ้าน อีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติสามารถนำเสนอสินค้าหลากหลายประเภทที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ไม่ซ้ำใคร
18. ขายเครื่องมือการศึกษา VR และ AR
หากคุณชื่นชอบเทคโนโลยี ร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสมือนจริง (VR) และความจริงเสริม (AR) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เพื่อการศึกษาสำหรับโรงเรียนและนักเรียนอาจเป็นตัวเลือกอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนที่เหมาะสม โดยคุณอาจขายชุดหูฟัง VR, แอปเพื่อการศึกษา และชุดการเรียนรู้ AR ให้กับทุกคนที่สนใจประสบการณ์ที่สมจริงได้
หากต้องการเริ่มต้นธุรกิจประเภทนี้ ให้ค้นหาหรือสร้างเนื้อหา VR/AR คุณภาพสูง จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของคุณน่าสนใจและได้ความรู้ ขายเครื่องมือของคุณ รวมถึงบทช่วยสอนและแผนการสอน เพื่อช่วยให้ผู้สอนผสานรวม VR/AR เข้ากับหลักสูตรของตนได้
19. สร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นตลาดขนาดใหญ่และกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยรายงานจาก PwC พบว่า 46% ของผู้ซื้อกำลังซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนมากขึ้นเพื่อช่วยลดผลกระทบจากคาร์บอน และพวกเขายินดีจ่ายเงินเพิ่ม 9.7% สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเรื่องนี้ได้
ค้นหาธุรกิจที่คุณสนใจแล้วศึกษาผลิตภัณฑ์ยอดนิยมภายในกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ค้นหาคำตอบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ คู่แข่งปฏิบัติตามแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนหรือไม่ หากคำตอบคือไม่ คุณอาจลองดูว่าคุณสามารถสร้างผลิตภัณฑ์แบบใหม่ที่มีความยั่งยืนมากขึ้นและขายให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสภาพภูมิอากาศทางออนไลน์ได้หรือไม่
20. ขายของขวัญที่สั่งทำได้
หากคุณต้องการเริ่มอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนของตัวเองและแสดงความคิดสร้างสรรค์โดยไม่ต้องผลิตสินค้าใหม่ ให้ใช้ประโยชน์จากตลาดสินค้าทั่งทำ
ค้นหาสินค้าขายส่งที่คุณสามารถซื้อในราคาส่งและเพิ่มสไตล์ของคุณเข้าไปได้ดังต่อไปนี้
- แก้ว
- เสื้อยืด
- กระเป๋า
- พวงกุญแจ
- อุปกรณ์จัดงานปาร์ตี้
- เคสโทรศัพท์
- ปลอกคอสุนัข
จากนั้นนำเครื่องมือประดิษฐ์อย่าง Cricut มาติดสติกเกอร์บนสินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือฝึกฝนทักษะการปักเพื่อเย็บชื่อหรือดีไซน์เฉพาะลงบนสินค้า
แนวทางการขายออนไลน์นี้อาจต้องติดต่อกับลูกค้ามากขึ้น แต่คุณสามารถทำเงินจากสินค้าที่สั่งทำได้มากกว่าการนำสินค้าที่มีอยู่แล้วมาขายต่อหรือเพิ่มดีไซน์แบบทั่วไป
21. สร้างและขายการ์ดงานแต่ง DIY
คุณไม่จำเป็นต้องสร้างและขายของชำร่วยงานแต่งแบบทำมือเพื่อจะได้ส่วนแบ่งจากธุรกิจงานแต่งงาน สินค้าของชำร่วยเป็นตลาดขนาดเล็กในธุรกิจงานแต่งงานที่ผู้คนใช้จ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์ในแต่ละปี
สร้างดีไซน์ของชำร่วยสำหรับงานแต่งงานของคุณด้วยเครื่องมือออกแบบกราฟิกฟรีอย่าง Canva และขายผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ผู้คนสามารถซื้อเทมเพลตเหล่านี้แล้วนำไปใส่รายละเอียดงานแต่งงาน และพิมพ์เองจากที่บ้านได้
สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับไอเดียผลิตภัณฑ์อีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนนี้ คือคุณไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องการจัดส่ง โดยลูกค้าจะได้รับการดาวน์โหลดดิจิทัลหรือลิงก์ไปยังเทมเพลตที่ปรับแต่งได้เมื่อพวกเขาสั่งซื้อ สบายใจเรื่องการจัดส่งได้เลย
22. เปิดร้านขายของมือสองออนไลน์
การขายของมือสองเป็นงานอดิเรกที่ได้รับความนิยมซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนได้โดยไม่ต้องผลิตเสื้อผ้าเอง
ร้านขายของมือสองทำเงินโดยการซื้อผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าเฉพาะกลุ่มในราคาที่ได้ส่วนลดและขายออนไลน์ คุณจะต้องมีสายตาที่เฉียบแหลมในการมองหาสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม รวมถึงมีเวลาพอที่จะค้นหาร้านค้าที่ขายของมือสองเพื่อหาสินค้าใหม่
ใช้ไอเดียธุรกิจอีคอมเมิร์ซเหล่านี้เพื่อเปิดร้านค้าออนไลน์ของคุณเลย
การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ไม่จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์ ซึ่งคุณก็ได้เห็นแล้วว่าไอเดียธุรกิจอีคอมเมิร์ซเหล่านี้สามารถทำเงินได้จริงโดยการเปลี่ยนทักษะ งานอดิเรก และความสนใจที่มีให้เป็นเงินผ่านธุรกิจออนไลน์
ส่วนที่ดีที่สุดก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินสดล่วงหน้าเพื่อสร้างธุรกิจจากไอเดียธุรกิจอีคอมเมิร์ซเหล่านี้ โมเดลธุรกิจอย่างการดรอปชิป การพิมพ์ตามสั่ง และการจัดพิมพ์หนังสือด้วยตนเอง ช่วยให้คุณไม่ต้องทำงานด้านสินค้าคงคลังและการจัดส่งอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุด นั่นคือการสร้างสรรค์และการขาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไอเดียอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุน
อีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนไหนดีที่สุด?
ดรอปชิปถือเป็นหนึ่งในโมเดลอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการใหม่ คุณไม่จำเป็นต้องเก็บสินค้าไว้ในคลัง จัดการการจัดส่ง หรือส่งสินค้าให้กับลูกค้า ซัพพลายเออร์ดรอปชิปจะจัดการให้เองเมื่อมีการขายผ่านร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณ
เริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซต้องใช้เงินเท่าไร?
จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซนั้นอยู่ที่ประมาณ 1,300,000 บาท แต่ทั้งนี้ ตัวเลขนี้จะแตกต่างกันไปตามโมเดลธุรกิจ งบประมาณการตลาดดิจิทัล และธุรกิจ หากคุณมีงบจำกัด คุณสามารถเปิดร้านค้า Shopify ได้ในราคาเพียง 33 บาท สำหรับเดือนแรกของคุณ
ร้านค้าออนไลน์ประเภทไหนที่มีกำไรมากที่สุด?
สินค้าที่ทำมือมักมีอัตรากำไรสูงที่สุดในบรรดาสินค้าอีคอมเมิร์ซ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสามารถจัดหาวัสดุในราคาที่ต่ำ และสร้างสินค้าที่ทำด้วยมือที่มีมูลค่าสูงซึ่งผู้คนยินดีจ่ายซื้อ
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซทำได้ง่ายหรือไม่?
การเปิดร้านค้าอีคอมเมิร์ซนั้นง่าย แต่การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนในแต่ละวันอาจใช้เวลามาก พยายามหาเวลาสัก 2-3 ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์เพื่อค้นหาสินค้าใหม่ ทำการตลาดร้านค้าของคุณ และสานสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบัน ความพยายามนั้นสามารถสะสมและส่งผลให้ธุรกิจออนไลน์ทำเงินได้
จะหาซัพพลายเออร์ได้ยังไง?
- ค้นหาผ่าน Google
- ถามเจ้าของธุรกิจคนอื่น
- ดูที่รายชื่อซัพพลายเออร์
- เข้าร่วมงานแสดงสินค้า
- เข้าร่วมตลาดออนไลน์
- อ่านสิ่งพิมพ์ในธุรกิจ
- เข้าร่วมฟอรัมและชุมชนธุรกิจ
จะเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซไม่ต้องลงทุนได้ยังไง?
- ประเมินทักษะของคุณ
- ดูว่าคุณชอบอะไร
- ดูว่ามีตลาดสำหรับกลุ่มนั้นหรือไม่
- ทำให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
- ตรวจสอบและทดสอบไอเดียเฉพาะกลุ่ม